‘ปิติ’ ชี้ไทย “ติดกับดักหนี้” ชง 3 ด้าน แก้วิกฤติ ‘ข้อมูลครบ-เครดิตสกอร์-ดึงมาตรฐานกลางกำกับปล่อยกู้’

‘ปิติ’ ชี้ไทย “ติดกับดักหนี้” ชง 3 ด้าน แก้วิกฤติ ‘ข้อมูลครบ-เครดิตสกอร์-ดึงมาตรฐานกลางกำกับปล่อยกู้’

‘ปิติ’ ttb ชี้ ไทยติดกับดักทางการเงิน กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ขัดขวางการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ชี้ไม่แก้ปัญหาหนี้ครบทุกมิติ ประเทศไทยอาจพลาดโอกาสในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวในหัวข้อ แก้วิกฤติ "กับดักหนี้" ทางรอดการเงินไทย" ในงาน Thailand Economic Outlook 2026 Out of the Trap กรุงเทพธุรกิจ ว่า

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ทวีความรุนแรง และเป็นปัจจัยสำคัญที่ชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ

โดยหากดูอัตราการเติบโตของรายได้ของคนไทย พบว่าเติบโตช้าอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ค่าใช้จ่ายกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือน ซึ่งกลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่ไม่สามารถละเลยได้

ทั้งนี้ หากดูความรุนแรงของปัญหาจาก 'หนี้' ผ่านกฎ 72  หากฝากเงินด้วยดอกเบี้ย 3% ต่อปี เงิน 100 บาทจะกลายเป็น 200 บาทในเวลา 24 ปี แต่ในทางกลับกัน หากกู้สินเชื่อบุคคลด้วยดอกเบี้ย 24% ต่อปี หนี้จะเพิ่มเป็นสองเท่าในเวลาเพียง 3 ปี

และหากคนไทยกู้เพื่อประคับประคองชีวิต จ่ายแต่ดอกเบี้ยโดยไม่ลดต้น และกู้ใหม่เพื่อจ่ายดอกเดิม ภายในไม่กี่ปีหนี้ก็จะทบต้นกลายเป็นภาระไม่สิ้นสุด สิ่งนี้สะท้อนว่าหนี้ครัวเรือนของไทยเติบโตเร็วกว่าการเติบโตของจีดีพีหลายเท่า

เมื่อมองเชิงโครงสร้าง หนี้ครัวเรือนของไทยมาจาก 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ และสหกรณ์/นอนแบงก์ (non-bank) ซึ่งยังไม่นับรวมหนี้นอกระบบที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ หากรวมทั้งหมดแล้ว หนี้ครัวเรือนของไทยอาจเกิน 100% ของจีดีพี

ขณะที่ตัวเลขล่าสุดหนี้ครัวเรือนลดลงเหลือ 86.8% เนื่องจากสินเชื่อธนาคารลดลงจากมาตรการควบคุม Responsible Lending โดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์ และบ้านที่หดตัวชัดเจน แต่สินเชื่อส่วนบุคคล (personal loan) ยังคงไม่ลดลง ทำให้ตัวเลขที่ลดลงไม่ใช่เรื่องที่น่าพอใจ

ข้อมูลจากเครดิตบูโร และการวิเคราะห์ของ TTB Analytics พบว่าคนไทยกำลังชน “3 กำแพงใหญ่” ได้แก่ กำแพงอายุ ประมาณ 9% ของประชากรเข้าสู่สังคมสูงวัย (aging economy) เมื่อเกษียณแล้วไม่มีรายได้ และธนาคารไม่กล้าปล่อยกู้ 2.กำแพง หนี้เสีย 20% ของประชากรกลายเป็น NPL ต้องได้รับการช่วยเหลือ และ 3.กำแพง รายได้ 31% ของประชากรมีรายได้ไม่เพียงพอ ทำให้กู้เกินตัว และติดกับดักหนี้ ส่วนอีกประมาณ 40% แม้ดูดี แต่ก็เสี่ยงชนทั้งสามกำแพงตามมา หากไม่แก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน

เพื่อแก้ปัญหาหนี้รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการตั้ง AMC สำหรับแก้หนี้รายย่อยไม่เกิน 100,000 บาท ตัวเลขจาก NCB ระบุว่าหนี้เสียไม่เกิน 100,000 บาทมีมูลค่ารวมประมาณ 2.1 ล้านคน คิดเป็น 70% ของจำนวนลูกหนี้เสียทั้งหมด แต่เป็นเพียง 14% ของมูลค่าหนี้เสียทั้งหมด

ซึ่งหมายความว่าการใช้ทรัพยากรเพียงเล็กน้อยเพื่อช่วยกลุ่มนี้ จะสามารถปลดล็อกลูกหนี้เสียจำนวนมาก ให้กลับมามีชีวิตทางการเงิน และสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้

อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาหนี้ต้องแก้ที่ “3 ขา” พร้อมกัน และต้องใช้พลังอย่างมหาศาล โดยเริ่มจากกระดุมเม็ดแรกคือ ข้อมูล และเครดิตสกอร์ ข้อมูลต้องสมบูรณ์และเป็นกลาง ทุกสถาบันการเงินต้องนำข้อมูลลูกหนี้เข้าสู่ระบบกลางเพื่อให้ทุกฝ่ายเห็นภาพเดียวกัน

ขณะที่เครดิตสกอร์จะเป็นเครื่องมือในการกำหนดอัตราดอกเบี้ย และสร้างวินัยทางการเงิน หากมีเครดิตดี คนกู้จะได้อัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม และโปร่งใส ตรงข้ามกับการปล่อยกู้โดยไม่มีข้อมูล ซึ่งทำให้หนี้เสียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ยุโรป หรือเอเชีย การใช้เครดิตสกอร์ถือเป็นเรื่องสำคัญในการปลูกฝังวินัยทางการเงินตั้งแต่ระดับนักศึกษา ผู้คนจะมีบัตรเครดิตเพื่อสร้างประวัติการเงิน แต่ต้องเรียนรู้วิธีใช้อย่างถูกต้อง ทำให้คนในประเทศเหล่านี้หวงแหนเครดิตของตน เพราะมีผลต่อทุกด้านของชีวิต ขณะที่ในไทย หลายครั้งการกู้เงินยังมีระบบ “เงินทอน” หรือการกู้บ้านก็ได้ยอดเงินทอน ทำให้วินัยทางการเงินไม่เกิด

อีกประเด็นสำคัญคือ การกำกับดูแล หนี้ครัวเรือน 2 ใน 3 ของทั้งหมดไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับที่ชัดเจน ธนาคารพาณิชย์อยู่ภายใต้ ธปท. แต่สหกรณ์อยู่ที่กระทรวงเกษตร และ กยศ.อยู่ที่กระทรวงการคลัง หากไม่มีกรอบกลางที่ชัดเจน การปล่อยกู้จะไม่มีขอบเขต และเกิดหนี้เสียสะสมอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้นการแก้ปัญหาหนี้ต้องเกิด 3 ขาพร้อมกัน ได้แก่ 1) การจัดการหนี้เสียในปัจจุบันให้หายไปให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะหนี้รายย่อยไม่เกิน 100,000 บาทผ่านระบบ AMC  2) การสร้างระบบข้อมูล และเครดิตสกอร์กลาง เพื่อให้ลูกหนี้มีวินัยทางการเงิน และได้รับดอกเบี้ยที่เหมาะสม และ 3) การกำกับดูแลทุกสถาบันการเงินให้เข้ากรอบเดียวกัน ทั้งแบงก์พาณิชย์ ธนาคารรัฐ สหกรณ์ และนอนแบงก์

หากสามารถจัดการหนี้เสีย 70% ได้สำเร็จ จะเป็นกระดุมเม็ดแรกที่สำคัญของประเทศไทย เพราะคนจำนวนมากจะได้กลับมามีแรงซื้อ และสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ หากไม่แก้ไข ผู้คนยังจมอยู่กับกองหนี้ และประเทศไทยก็จะไม่สามารถหลุดจากกับดักทางเศรษฐกิจได้

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์