‘บาทแข็ง-ดอลลาร์อ่อน’โอกาสทอง ‘กระจายพอร์ตสู่ตลาดโลก’

ตลอดปีที่ผ่านมา “ค่าเงินดอลลาร์” เผชิญความผันผวนต่อเนื่อง หลังดัชนีเงินดอลลาร์ปรับลง “ทำจุดต่ำสุด” ในรอบกว่า 3 ปี (นับตั้งแต่ก.พ.2565) และดีดกลับ
KEY
POINTS
- ภาวะเงินบาทแข็งค่าและดอลลาร์อ่อนตัวเป็นโอกาสให้นักลงทุนไทยกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังตลาดโลกด้วยต้นทุนที่ถูกลง
- แนะนำกลยุทธ์จัดพอร์ตแบบ Core & Satellite (80/20) โดยพอร์ตหลักเน้นกระจายการลงทุนทั่วโลกในหุ้นและพันธบัตร ส่วนพอร์ตรองเน้นทำกำไรในสินทรัพย์เสี่ยงสูง
- ชี้เป้าลงทุนใน "หุ้นจีน" เนื่องจากราคายังถูกและวัฏจักรขาขึ้นเพิ่งเริ่มต้น ขณะที่ "หุ้นสหรัฐ" เหมาะกับการลงทุนระยะยาวผ่านดัชนี S&P500 แม้จะราคาสูง
ท่ามกลางความไม่มั่นใจในนโยบายการเงินของ “ธนาคารกลางสหรัฐ” (Fed) ว่าการลดดอกเบี้ยจะเป็นการผ่อนคลายระยะยาว หรือเพียงเพื่อบริหารความเสี่ยง ทำให้ภาพรวมดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อย
ขณะเดียวกัน “ค่าเงินบาท” กลับแข็งค่าขึ้นมาอยู่ในระดับ 30-31 บาทต่อดอลลาร์ สวนทางกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังอ่อนแอ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากฐานะที่แข็งแกร่งของประเทศ ทั้งทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับ GDP และสัดส่วนการถือครองทองคำที่ค่อนข้างมาก
ดังนั้น ภายใต้แนวโน้มเงินบาทแข็งค่านี้ “ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. จิตตะ เวลธ์ จำกัด (Jitta Wealth) มองว่า นี่คือ “จังหวะทอง” ที่นักลงทุนไทยจะได้ขยายพอร์ตสู่ต่างประเทศ เพื่อรับการเปลี่ยนผ่านสู่รอบใหม่ของตลาดการเงินโลกที่เต็มไปด้วยโอกาสและความผันผวน
แนะกลยุทธ์ลงทุนต่อจากนี้ ว่า ควรเน้น Asset Allocation ด้วยการกระจายพอร์ตไปยังสินทรัพย์และตลาดที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น หุ้น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน หรือทองคำ เพื่อไม่ให้ความเสี่ยงกระจุกตัว
โดยแนะนำจัดพอร์ตแบบ Core & Satellite ในสัดส่วน 80% และ 20% ตามลำดับ พอร์ตหลัก (Core Portfolio) 80% เน้นการ กระจายลงทุนทั่วโลก ในหุ้นและพันธบัตร โดยให้น้ำหนักใน ประเทศพัฒนาแล้ว (สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ยุโรปและตลาดเกิดใหม่) ในช่วงดอกเบี้ยขาลงนี้ มองว่า พันธบัตรระยะสั้น 1 ปีในตลาดรอง ที่มี Bond Yield ลดลงจะช่วยหนุน Upside พอร์ตรอง (Satellite Portfolio) 20% เน้นทำกำไรสูงในช่วงตลาดขาขึ้น ยอมรับความเสี่ยงสูง เน้นเกาะกระแสตลาดหุ้นรายประเทศ กลุ่มอุตสาหกรรม หรือหุ้นรายตัว เพื่อจับจังหวะทำกำไรระยะสั้นหรือถือยาว
สำหรับคนที่ยังไม่มีหุ้นสหรัฐในพอร์ตแนะนำให้จัดสัดส่วนหุ้นสหรัฐไว้ใน “พอร์ตหลัก” ดีกว่า โดยเน้นลงทุนในดัชนี S&P500 “จิตตะเวลธ์” มีข้อมูลสถิติ การลงทุนใน ดัชนี S&P500 ระยะยาวมีโอกาสสร้างผลตอบแทน 10% ต่อปี แต่ในบางปี หรือช่วงระยะสั้นอาจจะเห็นติดลบ 20-30% ขึ้นกับปัจจัยลบหรือเหตุการณ์ต่างๆ ฉะนั้น ถ้าถือดัชนี S&P500 แนะนำให้ถือยาวไว้ดีที่สุด เพราะไม่มีใครตอบได้หุ้นสหรัฐหลัง All Time High ไปเรื่อยๆ แล้วจะเป็นอย่างไร
แนะนำ “หุ้นจีน” เนื่องจากราคายังถูกกว่าเยอะ โดยวัฏจักรขาขึ้นของตลาดจีนเพิ่งเริ่มต้น แม้ว่าปีนี้ หุ้นจีนปรับตัวขึ้นมาสูงสุดในรอบ 10 ปี ทั้งดัชนี CSI และดัชนีฮั่งเส็ง จีนจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้มากกว่า
ขณะที่ “ตลาดสหรัฐ” ขึ้นมาสูงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมารวม ๆ ไม่ต่ำกว่า 60% และปัจจุบันยังทำ All Time High อยู่ หากจะลงทุนหุ้นรายตัวสหรัฐ ข้อมูลวิเคราะห์จาก Market Prediction ของ Jitta Wealth ล่าสุด (5 ก.ย.) หุ้นสหรัฐ 50 ตัวที่ดีที่สุดของตลาดผ่านการวิเคราะห์อัตราการเติบโตรายได้และกำไรรวมถึงวัฎจักรธุรกิจ พบว่า เป็นหุ้นถูก 21 ตัว น้อยกว่า หุ้นแพง 29 ตัว หรือสัดส่วน 0.72 เท่า หากมีสัดส่วนต่ำกว่า 1 เท่า ถือว่าแพงอยู่ หากจะลงทุนหุ้นสหรัฐในช่วงนี้ จะไม่ได้ประโยชน์จากราคาถูกแล้ว ดังนั้น จะต้องเลือกหุ้นที่เติบโตสูงกว่าที่คาดการณ์อย่างเดียว
ทั้งนี้ ในภาวะ “ดอกเบี้ยขาลง” ของสหรัฐมีความเป็นไปได้ที่ Fund Flow จะย้ายจากสหรัฐมายัง “ตลาดหุ้นเอเชีย” โดย “จีน” ยังคงนโยบายการเงินที่สวนทาง Fed โดยคงอัตราดอกเบี้ย LPR ไว้ที่เดิม แม้จะมีสัญญาณอ่อนแอทางเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลยังคงเป้าหมาย GDP ที่ 5%
ขณะที่ เวียดนาม ตลาดพุ่งขึ้นร้อนแรงทำนิวไฮในรอบ 3 ปี แต่จากการวิเคราะห์พบว่ามีจำนวนหุ้นแพงมากกว่าหุ้นถูก (อัตราส่วน 0.67 เท่า) ซึ่งถือว่า แพงกว่าตลาดหุ้นสหรัฐ ที่เป็นตลาดหลักของโลก
สำหรับ ผู้ถือเงินสด นั้น นายตราวุทธิ์ ย้ำว่า การพักเงินใน “ตราสารหนี้ระยะสั้น” ยังเป็นทางเลือกที่ดี เนื่องจากดอกเบี้ยสหรัฐ แม้จะเริ่มลดลง แต่ยังอยู่ในระดับสูงราว 3% ซึ่งถือว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับความเสี่ยงต่ำ
หลักสำคัญที่สุดในการลงทุนในโลกที่ผันผวน คือ “จัดพอร์ตในแบบลงทุนแล้วนอนหลับได้อย่างสบายใจ” และยึดหลักการลงทุนที่ถูกต้อง เพื่อให้พอร์ตเติบโตสู่เป้าหมายได้อย่างมั่นคง






