AI คือฟองสบู่…หรือวัฏจักรเติบโตระยะยาว?

แม้ว่า AI จะถูกมองว่าเป็นธีมหลักในการขับเคลื่อนตลาด แต่ยังคงมีความเสี่ยงจากการปรับฐานหากกำไรของบริษัทไม่สามารถเติบโตได้ตามที่คาดหวัง รวมถึงความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบและการแข่งขันที่รุนแรง
KEY
POINTS
- บทความตั้งคำถามว่าการที่ราคาหุ้น AI พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นวัฏจักรการเติบโตในระยะยาว หรือเป็นภาวะฟองสบู่ที่เกิดจากความคาดหวังที่สูงเกินไปของนักลงทุน
- มุมมองที่เชื่อว่าเป็นวัฏจักรเติบโต (เช่น Jim Cramer) ชี้ว่าบริษัทเทคโนโลยีในปัจจุบันมีกำไรและรายได้จริงจากการใช้งาน AI ซึ่งแตกต่างจากยุคดอทคอม และมองว่านี่ยังเป็นเพียงช่วงเริ่มต้นของวัฏจักรเทคโนโลยีใหม่ที่มีศักยภาพสูง
- ในทางกลับกัน มุมมองที่เตือนถึงความเสี่ยงฟองสบู่ (เช่น David Solomon) กังวลว่าราคาหุ้นได้วิ่งแซงปัจจัยพื้นฐานไปแล้ว และอาจเกิดการปรับฐานของตลาดได้ใน 12-24 เดือนข้างหน้า เนื่องจากความคาดหวังที่สูงเกินไป
- ความเสี่ยงที่สำคัญคือการกระจุกตัวของมูลค่าตลาดในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่เพียงไม่กี่บริษัท ซึ่งหากหุ้นกลุ่มนี้ปรับฐานอาจส่งผลกระทบต่อตลาดโดยรวมอย่างรุนแรง
- แม้ว่า AI จะถูกมองว่าเป็นธีมหลักในการขับเคลื่อนตลาด แต่ยังคงมีความเสี่ยงจากการปรับฐานหากกำไรของบริษัทไม่สามารถเติบโตได้ตามที่คาดหวัง รวมถึงความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบและการแข่งขันที่รุนแรง
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence-AI) ได้กลายเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากนักลงทุนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโมเดลภาษาอัจฉริยะ การใช้งาน AI ในภาคอุตสาหกรรม การแพทย์ การเงิน หรือแม้แต่ในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ AI กำลังเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทาน การผลิต และการบริการ ทำให้บริษัทที่ปรับตัวได้เร็วมีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูง ความก้าวหน้าของ AI ได้ผลักดันให้บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ทั้งในสหรัฐและจีน เช่น Nvidia, Microsoft, Alphabet, Amazon, Alibaba, SMIC, Hua Hong Semiconductor มีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และได้รับการประเมินมูลค่าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ดัชนีหลักของตลาดหุ้นสหรัฐเดินหน้าทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง โดยมีหุ้นเทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก นักวิเคราะห์บางรายคาดว่าดัชนี S&P500 ของสหรัฐอาจแตะ 7,100 จุดภายในสิ้นปี 2025 จากระดับล่าสุด (7 ตุลาคม 2025) ที่ 6,714.59 จุด หากกระแส AI ยังคงแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อราคาหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ AI พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คำถามที่เริ่มเกิดขึ้นในหมู่นักลงทุนและนักเศรษฐศาสตร์คือ : AI กำลังกลายเป็นฟองสบู่หรือไม่? หลังนักวิเคราะห์เตือนถึงความเสี่ยง “ฟองสบู่” และการปรับฐานต้นปีหน้า เนื่องจากราคาวิ่งแซงปัจจัยพื้นฐาน โดยจากการสำรวจของ Bank of America นักลงทุน 41% กังวลเกี่ยวกับฟองสบู่หุ้น AI และ 14% ระบุว่าเป็นปัญหาหลัก
Jim Cramer นักวิเคราะห์การเงินชื่อดังจากรายการ “Mad Money” ของ CNBC ได้แสดงความเห็นอย่างชัดเจนว่า เขาไม่เชื่อว่า AI จะกลายเป็นฟองสบู่แบบเดียวกับที่เกิดขึ้นในยุคดอทคอมช่วงปลายทศวรรษ 1990 ถึงต้น 2000 โดยให้ความเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ตรงข้ามกับเมื่อ 25 ปีก่อนโดยสิ้นเชิง เนื่องจากเมื่อบริษัทดอทคอมลงทุนผิดพลาด พวกเขาล้มละลายเกือบทั้งหมด แต่ถ้า Google หรือ Amazon ลงทุนผิดพลาดในวันนี้ มันก็เป็นแค่เรื่องปกติของธุรกิจ ทั้งนี้ Cramer เน้นว่า บริษัทเทคโนโลยีในปัจจุบันมีรายได้จริง กำไรจริง และมีการใช้งาน AI ที่สามารถสร้างมูลค่าได้จริง ไม่ใช่แค่แนวคิดหรือความฝันเหมือนในอดีต เขายังกล่าวถึงความมั่นใจในผู้นำของบริษัท เช่น Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ว่าการลงทุนในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่เป็นการวางกลยุทธ์ระยะยาว ไม่ใช่การใช้จ่ายอย่างไร้เหตุผล
ในทางกลับกัน David Solomon ซีอีโอของ Goldman Sachs ได้แสดงความเห็นที่ระมัดระวังมากกว่า โดยเขาเปรียบเทียบการลงทุนใน AI กับการลงทุนในเทคโนโลยีในอดีตที่มีทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว โดยให้ความเห็นว่าจะมีเงินลงทุนจำนวนมากที่ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ แต่นั่นคือธรรมชาติของการลงทุน เราแค่ยังไม่รู้ว่ามันจะจบลงอย่างไร และมีความเป็นไปได้ของการปรับฐานตลาดภายใน 12-24 เดือนข้างหน้า โดยเฉพาะเมื่อดัชนีหุ้นเติบโตอย่างรวดเร็วจากความคาดหวังใน AI นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของมูลค่าหุ้นในบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ โดยบริษัท 10 อันดับแรกในดัชนี S&P 500 มีสัดส่วนมูลค่าตลาดรวมกันถึงประมาณ 40% ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ส่งผลให้ตลาดมีความเปราะบาง หากเกิดการปรับฐานในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ก็อาจส่งผลกระทบต่อทั้งตลาดในวงกว้าง
อย่างไรก็ดี ทีมกลยุทธ์ของ Goldman Sachs นำโดย Peter Oppenheimer กลับมองว่า หุ้นกลุ่ม AI ยังไม่เข้าสู่ภาวะฟองสบู่ เนื่องจากบริษัทเทคโนโลยีในปัจจุบันมีการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่ง งบดุลมั่นคง และมีนวัตกรรมที่ใช้งานได้จริง โดย Oppenheimer ระบุว่า “มูลค่าหุ้นในภาคเทคโนโลยีตอนนี้ยังไม่สูงเกินไปเมื่อเทียบกับช่วงฟองสบู่ในอดีต เรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของวัฏจักรเทคโนโลยีใหม่” ทั้งนี้ Goldman Sachs ประเมินว่า AI อาจเพิ่ม GDP โลกได้ถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในทศวรรษหน้า จากการเพิ่มประสิทธิภาพในภาคธุรกิจต่างๆ เช่น การผลิต การแพทย์ การเงิน และการบริการ
แม้ว่า AI จะมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงโลกอย่างมหาศาล แต่คำถามที่ยังไม่มีคำตอบแน่ชัดคือ เทคโนโลยีนี้จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนได้จริงหรือไม่ หรือจะกลายเป็นอีกหนึ่ง “ความฝันทางเทคโนโลยี” ที่ไม่สามารถตอบโจทย์เศรษฐกิจในระยะยาว นักวิเคราะห์บางส่วนชี้ว่า การลงทุนใน AI ยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยหลายด้าน เช่น ความไม่แน่นอนของกฎระเบียบ ความกังวลด้านจริยธรรม และการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดโลก
การถกเถียงว่า AI เป็นฟองสบู่หรือไม่ จึงสะท้อนถึงความไม่แน่นอนของอนาคตเทคโนโลยีและตลาดการเงิน ขณะที่ Jim Cramer มองว่า AI เป็นโอกาสระยะยาวที่มีพื้นฐานมั่นคง Goldman Sachs กลับเตือนให้ระวังความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากความคาดหวังที่สูงเกินไป อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าหุ้นกลุ่ม AI ยังคงเป็นธีมหลักที่ขับเคลื่อนตลาด โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และจีน รวมถึงได้เห็นความร่วมมือกันระหว่างบริษัทในการพัฒนาเทคโลยี และการสนับสนุนจากภาครัฐในการพัฒนาเทคโนโลยี AI ในขณะที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดการปรับฐาน หากกำไรไม่สามารถเติบโตตามความคาดหวัง นอกจากนี้ หุ้นเทคโนโลยีมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินหรือเศรษฐกิจโลก
สำหรับนักลงทุน การติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และการประเมินความเสี่ยงอย่างรอบด้าน จะเป็นกุญแจสำคัญในการบริหารพอร์ตการลงทุนในช่วงเวลาที่ตลาดเริ่มส่งเสียงถึงความกังวลเกี่ยวกับฟองสบู่ เพื่อที่จะสามารถปรับพอร์ตการลงทุนได้ทันต่อสถานการณ์
ทั้งนี้ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ประเมินความเสี่ยงการลงทุนและความสามารถในการรับความเสี่ยงของท่านก่อนการตัดสินใจลงทุน และผลตอบแทนการลงทุนในอดีตไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนในอนาคต







