หุ้นกู้ไฮยีลด์’เสี่ยง‘ยืดหนี้’เพิ่ม เหตุเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นชัด

หุ้นกู้ไฮยีลด์’เสี่ยง‘ยืดหนี้’เพิ่ม  เหตุเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นชัด

ThaiBMA ชี้แนวโน้มตลาดหุ้นกู้ไตรมาส 4 นี้ เผชิญแรงกดดัน เหตุเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวไม่ชัด จับตากลุ่มหุ้นกู้ไฮยีลด์ เสี่ยงขอยืดชำระหนี้เพิ่ม หวังรัฐบาลเดินนโยบาย ลดปัญหา

KEY

POINTS

  • เศรษฐกิจไทยที่ยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน ทำให้หุ้นกู้กลุ่มไฮยีลด์ (High-yield) มีความเสี่ยงในการขอเลื่อนชำระหนี้เพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี
  • ในช่วง 9 เดือนแรกของปี มีหุ้นกู้ที่เลื่อนกำหนดชำระแล้ว 16 ราย มูลค่ารวมกว่า 4.2 หมื่นล้านบาท และมีหุ้นกู้ผิดนัดชำระอีก 6 ราย
  • ในไตรมาส 4 ปีนี้ จะมีหุ้นกู้ไฮยีลด์ครบกำหนดชำระมูลค่ากว่า 2.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งยังคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 ยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน ทำให้แนวโน้มตลาดหุ้นกู้ในไตรมาส 4 ปีนี้ ยังคงมีความเสี่ยงยืดชำระหนี้หุ้นของเอกชนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นกู้ไฮยีลด์ ยังคงต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิดต่อไป

ทั้งนี้ คาดหวังหากรัฐบาลปัจจุบันหรือรัฐบาลใหม่ เข้ามาขับเคลื่อนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 ฟื้นตัวชัดเจนขึ้น ทำให้หุ้นกู้ที่มีปัญหาขอยืดชำระหนี้มีโอกาสลดลงได้เช่นกัน

“เพราะพบว่า บางบริษัทไม่ได้อยากจะยืดชำระหนี้หุ้นกู้ แต่เศรษฐกิจไทยยังชะลอตัว บริษัทสายป่านไม่ยาว เกิดปัญหาได้ มองว่า ช่วงรอเศรษฐกิจฟื้นการยืดหนี้หุ้นกู้ยังเป็นทางออกที่ดี สำหรับบริษัทที่ยังคงตั้งใจทำธุรกิจและพยายามแก้ไขปัญหา  การผิดนัดชำระหนี้ไม่เกิดขึ้น แม้จะการยืดชำระหนี้ต่อเนื่อง แต่เงินต้นลดลง ภาระหนี้ลดลงเช่นกัน หากมีการมีเงื่อนไขจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มและทยอยคืนเงินต้นให้กับผู้ถือหุ้นกู้อย่างเหมาะสมและยุติธรรม ถือเป็นสิ่งที่ดีกับทุกฝ่าย"

หุ้นกู้ไฮยีลด์’เสี่ยง‘ยืดหนี้’เพิ่ม  เหตุเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นชัด

จากช่วง 9 เดือนปีนี้ หุ้นกู้เลื่อนกำหนดชำระ ทั้งสิ้น 16 ราย มูลค่ารวม 42,679 ล้านบาท ซึ่งผู้ออก 12 ราย เพิ่งเคยเลื่อนกำหนดชำระเป็นครั้งแรก ขณะที่หุ้นกู้ผิดนัดชำระ มูลค่ารวม 4,512 ล้านบาท จากผู้ออก 6 ราย ซึ่งในปีนี้หุ้นกู้บางรุ่นที่เคยมีปัญหาในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งต่อมาได้รับการอนุญาตจากผู้ถือหุ้นกู้ให้ปรับโครงสร้างหนี้ จึงทำให้หุ้นกู้ผิดนัดชำระในช่วง 9 เดือนแรกนี้ มีมูลค่าสุทธิ 3,007 ล้านบาท

นอกจากนี้ กรณี บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA ) ชี้แจงเรียกประชุมผู้ถือหุ้นกู้ 17 ต.ค.นี้ เพื่อขออนุมัติการขยายกรอบเวลาในการเจรจากับสถาบันการเงิน สิ้นสุด 30 ก.ย. 2568 ออกไปถึง 31 ธ.ค.2568 ตามข้อกำหนดสิทธิข้อ 11.1(ญ) ไม่ถือว่าเป็นการผิดข้อกำหนดสิทธิ โดยไม่กระทบต่อการชำระหนี้ตามปกติ เรามองว่า กรณีเป็นไปตามกระบวนการที่ต้องเรียกประชุมผู้ถือหุ้นกู้ตามปกติ เพื่อไม่ให้ผิดข้อกำหนดสิทธิ ซึ่งจะไม่กระทบกับแผนชำระหนี้หุ้นกู้ทุกชุดของ EA ที่ได้รับการอมุมัติไปแล้ว

สถานการณ์หุ้นกู้มีปัญหาในไตรมาส 4 ปีนี้ ประเมินว่า ยังไม่มีอะไรที่ห่วงเพิ่มเติมจากปัจจุบัน เพราะสภาพตลาดหุ้นกู้ แบ่ง 2 กลุ่มชัดเจน คือ “กลุ่มหุ้นกู้ไฮยีลด์” ที่ขอยืดชำระหนี้ ส่วนใหญ่ยังคงเป็นรายเดิมและรายใหม่ในปีนี้ เมื่อยืดชำระหนี้หุ้นกู้ไปแล้วจะไม่สามารถออกหุ้นกู้ใหม่ได้

อีกทั้งช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ จะมีหุ้นกู้ครบกำหนด มูลค่า 218,777 ล้านบาท มี 3 อุตสาหกรรมที่จะครบกำหนดเป็นส่วนใหญ่ คือ การเงิน , อสังหาริมทรัพย์ และวัสดุก่อสร้าง เป็นกลุ่มหุ้นกู้ไฮยีลด์ มูลค่าครบกำหนดเพียง 24,381 ล้านบาท เทียบกับอีกกลุ่มคือ “หุ้นกู้อินเวสต์เมนต์ เกรด” มูลค่าครบกำหนดมากกว่าถึง 194,397 ล้านบาท ยังโรลโอเวอร์หุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนด และออกเสนอขายหุ้นกู้ใหม่ได้ตามปกติ

หุ้นกู้ไฮยีลด์’เสี่ยง‘ยืดหนี้’เพิ่ม  เหตุเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นชัด

ยอดออกหุ้นกู้เดือน ต.ค. พุ่งแรงคาดแตะแสนล้าน 

ด้านยอดออกหุ้นกู้ช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ เราพบว่าเฉพาะเดือนต.ค. นี้ ช่วง 3 วัน มียอดออกเสนอขายหุ้นกู้แล้วเกือบ 75,000 ล้านบาท ใกล้เคียงยอดหุ้นกู้ครบกำหนดในเดือนนี้ 77,000 ล้านบาท จึงคาดยอดออกหุ้นกู้ในเดือนนี้มีโอกาสทะลุเป้าหมายไปแตะ 100,000 ล้านบาท

และยอดหุ้นกู้ครบกำหนดช่วง 2 เดือนที่เหลือปีนี้เดือนพ.ย.อยู่ที่ 91,000 ล้านบาท และเดือนธ.ค. อยู่ที่ 50,000 ล้านบาท พบบริษัทขนาดใหญ่หลายรายยังแผนออกขายหุ้นกู้อีกจำนวนมาก ซึ่งอาศัยจังหวะดอกเบี้ยในตลาดลดลงมาต่ำมากแล้ว ภาระต้นทุนออกหุ้นกู้ลดลง ทำให้หุ้นกู้กลับเป็นแหล่งระดมทุนที่น่าสนใจ อย่างเช่น CPF 13,000 ล้านบาท, CPNREIT 7,500 ล้านบาท LH 7,200 ล้านบา และยังมี TISCO กับ CPAXT อีกบางส่วน

หลังจากช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ ยอดออกหุ้นกู้ อยู่ที่ 640,000 ล้านบาท ลดลง 9.1% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เป็นการปรับลดลงต่ำกว่าเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ขณะที่ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา มีมูลค่าการออกหุ้นกู้ต่ำมาก มูลค่า 195,334 ล้านบาท แต่ก็มีการเร่งตัวในไตรมาส 3 มูลค่าที่ออกใหม่ 241,182 ล้านบาท

เพราะว่าบริษัทขนาดใหญ่เลือกจังหวะออกหุ้นกู้ในไตรมาส 4 รับเซนทริเมนต์ บวก จากความคาดหวังเศรษฐกิจหลังมีรัฐบาลใหม่ และดอกเบี้ยปรับลดลง มั่นใจว่าทั้งปีนี้ ทะลุ800,000 ล้านบาท  ส่วนจะไปถึง900,000 ล้านบาทหรือไม่ยังต้องติดตามช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้ 

กระแสฟันด์โฟลว์ในตลาดบอนด์ไทย ทรงตัว

นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ ThaiBMA กล่าวว่า แนวโน้มกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในตลาดตราสารหนี้ไทย ช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ คาด “ทรงตัว” ไม่ได้ผันผวน ไม่มีเงินที่เข้าเร็วออกเร็ว  แต่มีบางจังหวะที่กองทุนขายทำกำไรบ้างก็ไม่มีนัยต่อตลาดตราสารหนี้

ณ สิ้น ไตรมาส 3 ปีนี้นักลงทุนต่างชาติ ยัง “ซื้อสุทธิ” ตราสารหนี้ไทย 29,038 ล้านบาท เป็นการซื้อสุทธิไตรมาส 1 และ 2 จำนวน 32,329 ล้านบาท รวมกับการขายสุทธิ 3,291 ล้านบาทในไตรมาส 3

ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2568 นักลงทุนต่างชาติมีการถือครองตราสารหนี้ไทยเท่ากับ 8.8 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 5% ของมูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทย โดยตราสารหนี้ไทยที่ต่างชาติถือครองมีอายุคงเหลือเฉลี่ย 7.9 ปี ลดลงจาก 8.7 ปี เมื่อสิ้นปี 2567

บอนด์ยีลด์ไทยปรับตัวลงต่ำแล้ว เก็งล่วงหน้าลดดอกเบี้ย

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย (Bond Yield) ปรับตัวลดลงทั้งเส้นในทิศทางเดียวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปี 2568 รวม 3 ครั้ง 0.75% มาอยู่ที่ระดับ 1.50% ส่งผลให้ Bond yield ไทยรุ่นอายุ 2 ปี 5 ปี และ10 ปี ปรับตัวลดลง 86-88 bps. จากสิ้นปี 2567 มาอยู่ที่ระดับ 1.16%, 1.22% และ 1.42% ตามลำดับ ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2568 และอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ภาคเอกชนปรับตัวลดลงในทิศทางเดียวกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล: ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 อัตราผลตอบแทนของหุ้นกู้รุ่นอายุ 5 ปี ของหุ้นกู้กลุ่ม AAA AA A และ BBB+ ปรับตัวลดลง 72-110 bps. มาอยู่ที่ระดับ 1.71% 2.17% 2.55% และ 3.92% ตามลำดับ ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2568

นายสมจินต์ กล่าวว่า จากผลสำรวจจากผู้ร่วมตลาดส่วนใหญ่คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายราว 1-2 ครั้ง รวม 0.25-0.50% ลงมาอยู่ที่ 1.00-1.25% จากปัจจุบันที่ 1.50% สำหรับการคาดการณ์ Bond yield ไทย ผู้ตอบแบบสอบถามคาดว่า ปลายปี 2568 Bond yield ไทยรุ่นอายุ 5 ปี และ 10 ปี จะขยับตัวลดลงเฉลี่ยราว 10-15 bps. จากสิ้นไตรมาส 3 โดยมีปัจจัยหลักจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย และแผนการระดมทุนของภาครัฐ

ขณะที่ดอกเบี้ยสหรัฐในปีนี้ น่าจะปรับลง 2 ครั้ง ในการประชุม 26 ต.ค. จะปรับลง 0.25% และใน 10 ธ.ค.68 ปรับลดอีก 0.25% มาอยู่ที่ 3.50-3.75% จากปัจจุบัน 4.00-4.25%