‘บลจ.‘ กสิกรไทย แนะทางรอด ’กระจายพอร์ตลงทุน’ สู้ยุคผันผวนสูง

‘บลจ.‘ กสิกรไทย แนะทางรอด ’กระจายพอร์ตลงทุน’ สู้ยุคผันผวนสูง

“บลจ.กสิกรไทย” จัดสัมมนาใหญ่ ชูแนวคิด “กระจายพอร์ตลงทุน” เพื่อทางรอดลงทุนยุคผันผวน หนุน “ผลตอบแทน” เติบโตท่ามกลางตลาดเสี่ยงสูง หวังต่อยอดกลยุทธ์สู่พอร์ต “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ”

ท่ามกลางสภาวะตลาดโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งความขัดแย้งทางการค้า ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และเหตุการณ์ที่ยากจะคาดเดา บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย ร่วมกับพันธมิตรระดับโลก J.P Morgan Asset Management จัดงานสัมมนา Know the Markets Summit 2025 Core Stability Amidst Market Volatility

ภายใต้แนวคิด “Core Stability” ซึ่งเน้นการสร้าง “พอร์ตลงทุนหลักที่มั่นคง” หรือ Core Portfolio ให้สามารถยืนหยัดการลงทุนได้ในทุกภาวะตลาด

นายวิน พรหมแพทย์, CFA ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า การจัดสัมมนาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ความรู้ด้านการลงทุนกับลูกค้าทั้งรายบุคคลและสถาบัน โดยเน้นว่า เราทำนายตลาดไม่ได้ แต่เราสามารถเตรียมพอร์ตให้พร้อมได้เสมอ ผ่านหลักการสำคัญคือการ กระจายความเสี่ยงทั้งเชิงภูมิศาสตร์และประเภทสินทรัพย์ เพื่อรับมือกับทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น

ซึ่งมองว่าแนวคิด Core Portfolio ที่ยืนหยัดได้แม้ตลาดผันผวนรุนแรง เช่น ในช่วงที่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศขึ้นภาษีจนตลาดโลกลดลงถึง 20%

แต่กองทุน K -WPBALANCED ติดลบเพียง 2% เท่านั้น และเมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งปี พบว่าผลตอบแทนในกองทุนต่างๆฟื้นตัวอย่างโดดเด่น เช่น K -WPBALANCED ให้ผลตอบแทนประมาณ 6% K -WPSPEEDUP ที่ให้ผลตอบแทนสูงที่ 8% ฯลฯ

ดังนั้น เฉลี่ยแล้วให้ผลตอบแทน 7-8% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าการลงทุนในสินทรัพย์ไทยทั่วไปอย่างชัดเจน สะท้อนว่าการลงทุนแบบ Core Stability ไม่เพียงลดความผันผวน แต่ยังสร้างผลตอบแทนระยะยาวได้จริง

นอกจากนี้ จากความสำเร็จในกลุ่มลูกค้าบุคคล ธนาคารได้ต่อยอดแนวคิด Core Portfolio มาสู่ตลาด กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อช่วยให้คนไทยออมเพื่อเกษียณอย่างมีคุณภาพมากขึ้น ปัจจุบันลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพของกสิกรไทยสามารถเลือกแผน Core Portfolio ที่เหมาะกับแต่ละช่วงวัย ทั้งแบบเสี่ยงสูงสำหรับวัยเริ่มทำงาน และเสี่ยงต่ำสำหรับผู้ใกล้เกษียณ

อีกหนึ่งทางเลือกที่ได้รับความนิยมคือแผน “Life Path” ซึ่งจะปรับสัดส่วนความเสี่ยงให้โดยอัตโนมัติ ตามอายุผู้ลงทุน โดยธนาคารจะจัดพอร์ตให้ปีละครั้งตามเดือนเกิดของแต่ละคน ปัจจุบันมีกว่า 300 นายจ้าง ที่เลือกใช้แผน K Plus เป็นแผนเกษียณ และมีมูลค่าทรัพย์สินรวมเกือบ 2,000 ล้านบาท ขณะที่แผน Life Path มีลูกค้าแล้วกว่า 70 นายจ้าง

โดยมองปัจจุบันคนไทยจำนวนมากยังออมเงินแบบอยู่ในประเทศมากเกินไปกว่า 95% ของเงินลงทุนเพื่อเกษียณยังอยู่ในหุ้นไทยและตราสารหนี้ไทย ทำให้ไม่ได้รับประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยงในตลาดโลก เราจึงอยากพาผู้ลงทุนออกไปสู่ตลาดโลก เพราะหากปีนี้ลงทุนแต่หุ้นไทยยังติดลบ แต่ถ้ากระจายทั่วโลกจะเริ่มเห็นผลตอบแทนบวกแล้ว

ดังนั้น แนวทางที่ธนาคารแนะนำคือการจัดพอร์ตแบบ 80-20 โดยให้ 80% ของเงินลงทุนเป็น Core Portfolio ที่กระจายทั่วโลก และอีก 20% เป็น Satellite Portfolio ซึ่งผู้ลงทุนสามารถเลือกน้ำหนักสินทรัพย์พิเศษ เช่น หุ้นจีน อินเดีย หรือทองคำได้ตามมุมมองส่วนตัว

นอกจากนี้ มองการเพิ่ม Private Assets ในพอร์ตลงทุน เช่น Private Equity, Private Credit และ Private Infrastructure เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่หลากหลายขึ้น ปัจจุบันธนาคารอยู่ระหว่างร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อนำสินทรัพย์นอกตลาดเหล่านี้มาเสนอให้กับกลุ่มลูกค้า High Net Worth และสถาบัน คาดจะเริ่มเห็นผลิตภัณฑ์ใหม่ช่วงต้นปีหน้า