ลุ้นผลประชุม กนง. ‘วิทัย’ นัดแรก ‘นักเศรษฐศาสตร์’ คาด ‘คงดอกเบี้ย’

นักเศรษฐศาสตร์เห็นพ้องฟัน กนง. ‘คงดอกเบี้ย’ หลัง policy space มีจำกัด แถมเป็นการประชุม กนง.ครั้งแรกของวิทัย ผู้ว่าแบงก์ชาติ อาจรอดูสถานการณ์ก่อนลดดอกเบี้ยปลายปี
KEY
POINTS
- นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ กนง. "คงอัตราดอกเบี้ย" ในการประชุมวันนี้
- ชี้เป็นครั้งแรกของนายวิทัย รัตนากร ในฐานะผู้ว่าฯ ธปท. คนใหม่ ซึ่งเป็นปัจจัยที่อาจทำให้ กนง. ยังไม่รีบปรับเปลี่ยนนโยบาย
- เหตุผลสำคัญ จาก "พื้นที่นโยบายการเงิน" Policy Space ที่เหลือจำกัด
- นักวิเคราะห์มองว่าแม้รอบนี้จะยังไม่ลดดอกเบี้ย แต่มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปีเพื่อพยุงเศรษฐกิจ
คำถามใหญ่ที่ตลาดจับตามอง คือ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) “จะลดดอกเบี้ยหรือไม่” ในรอบการประชุมครั้งล่าสุด นักเศรษฐศาสตร์จากหลายสำนัก ต่างมองในทิศทางเดียวกันว่า แม้จะมีเหตุผลเพียงพอในการปรับลดดอกเบี้ยเพื่อประคองเศรษฐกิจ แต่ “จังหวะ และข้อจำกัดของนโยบาย” อาจทำให้ กนง.ต้องชะลอตัดสินใจไว้ก่อน
- นโยบายการเงินอยู่ใน “จุดยากคาดเดา”
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวว่า การพิจารณานโยบายการเงินรอบนี้ถือว่า “ยากเป็นพิเศษ” แม้หลายปัจจัยจะเอื้อให้ลดอัตราดอกเบี้ย แต่สิ่งสำคัญคือการประเมิน “ประสิทธิภาพของนโยบาย” ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำอยู่แล้ว
ทั้งนี้ หากดูจากสัญญาณที่ กนง. เคยสื่อสารก่อนหน้านี้ มองว่า การลดดอกเบี้ยช่วงดอกเบี้ยต่ำ อาจให้ผลกระตุ้นเศรษฐกิจไม่มากนัก อีกทั้งครั้งนี้ถือเป็นการประชุมครั้งแรกของ “วิทัย รัตนากร” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ ทำให้มีแนวโน้มว่า กนง. อาจ “ยังไม่รีบ” ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
“รอบนี้มีโอกาสสูงที่อัตราดอกเบี้ยจะยังคงเดิม แม้จะเห็นว่ามีช่องว่างในการลดอยู่ แต่การเปลี่ยนโทนของ กนง. ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องง่าย”
ดังนั้น สิ่งสำคัญที่ต้องติดตาม คือ ถ้อยแถลง และการสื่อสารของ กนง. หลังการประชุม เพราะขณะนี้ สัญญาณเศรษฐกิจเริ่มชะลอลงชัดเจน โดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของปี ทั้งจากแรงกดดันภายนอก
เช่น มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐ และจากภายในประเทศเอง ทั้งภาคท่องเที่ยวที่ชะลอตัว เศรษฐกิจในประเทศซบเซา เงินเฟ้อต่ำ ค่าเงินบาทแข็ง และปัญหาหนี้เสีย (NPL) ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ซึ่งปัจจัยเหล่านี้สะท้อนว่านโยบายการเงินควรอยู่ในโหมดที่พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมได้ แม้มีเหตุผลทางเศรษฐกิจที่สนับสนุนการลดดอกเบี้ย แต่ความท้าทายอยู่ที่ข้อจำกัดของ Policy Space ซึ่งอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันเริ่มเข้าใกล้ Effective Lower Bound หรือ ขีดจำกัดของนโยบายการเงินภายใต้ดอกเบี้ยต่ำ
ดังนั้น การลดดอกเบี้ยในภาวะที่ ดอกเบี้ยเข้าใกล้ระดับต่ำสุด ต้องมั่นใจว่าทำในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดเพราะการใช้เครื่องมือนี้อาจเหลือไม่มากแล้ว นอกจากนี้ ดอกเบี้ยที่ต่ำเกินไปยังอาจสร้างความเสี่ยงทางการเงินอื่นๆ เพิ่มขึ้นได้
“กนง. คงต้องระมัดระวังมากขึ้น ยิ่งเข้าใกล้ Effective Lower Bound มากเท่าไร การลดดอกเบี้ยก็ยิ่งยากขึ้น และยังมีข้อจำกัดเรื่องส่งผ่านนโยบายการเงินด้วย”
หากถามถึงความจำเป็นในการลดดอกเบี้ยมองว่า มีความจำเป็นอย่างมาก เพราะการลดดอกเบี้ยจะช่วยประคับประคองเศรษฐกิจ ทั้งนี้โดยประเมินว่า กนง.น่าจะลดดอกเบี้ยได้ 1 ครั้งในไตรมาส 4 ปีนี้ และอาจลดอีก 1 ครั้งในไตรมาสแรกปีหน้า ก่อนจะหยุดวงจรการลดดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 1%
- ธปท.ต้องใช้เครื่องมืออื่นๆ แก้บาทแข็ง-หนี้
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า คาดการณ์ว่าการประชุม กนง.รอบนี้มีแนวโน้มที่จะ “คงดอกเบี้ย” ไว้ก่อนในรอบปัจจุบัน และจะพิจารณาปรับลดอีกครั้งในเดือนธ.ค. และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยสุดท้ายของรอบนี้ (Terminal Rate) อาจอยู่ที่ 1.25%
เหตุผลสำคัญมาจาก พื้นที่นโยบาย หรือ Policy Space ที่เหลืออยู่น้อย ทำให้ กนง.ต้องระมัดระวัง แม้เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะเงินเฟ้อต่ำ และการเติบโตช้า ซึ่งโดยปกติถือเป็นเงื่อนไขที่เอื้อให้ลดดอกเบี้ยได้
“ผมคิดว่า กนง.อาจรอความชัดเจนจากฝั่งนโยบายการคลัง ทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น คนละครึ่ง และรอดูผลของการลดดอกเบี้ยในรอบที่ผ่านมา ว่าส่งผลต่อเศรษฐกิจจริงแค่ไหน” อมรเทพ กล่าว
นอกจากนี้อาจเห็น ธปท.พิจารณาใช้ เครื่องมืออื่นนอกเหนือจากนโยบายดอกเบี้ย โดยเฉพาะการจัดการสภาพคล่องในระบบการเงินที่มีอยู่สูง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น รวมถึงดูแลค่าเงินบาทที่แข็งค่ากว่าภูมิภาค และการผลักดันมาตรการ AMC หรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ เพื่อลดภาระหนี้ของภาคครัวเรือน
หากถามถึง ความจำเป็นในการลดดอกเบี้ย “ยังมีความจำเป็นอยู่มาก” เพราะเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญ คอขวดเชิงโครงสร้าง ทั้งการเติบโตสินเชื่อที่ชะลอตัว ขณะที่เศรษฐกิจจริงก็ขยายตัวต่ำ และความเสี่ยงด้านเครดิตยังสูง เพราะแม้เศรษฐกิจจะขยายตัวระยะข้างหน้า
แต่เป็นการขยายตัวที่เปราะบาง สินเชื่อยังโตต่ำ และภาคธุรกิจยังเผชิญความเสี่ยงสูง
อีกทั้ง หากดูบทบาทของภาครัฐในช่วงนี้ว่า มาตรการที่ออกมาเป็นเพียงระยะสั้น เน้นลดค่าครองชีพ และกระตุ้นการใช้จ่าย แต่เมื่อมาตรการเหล่านี้หมดอายุ เศรษฐกิจอาจเผชิญแรงดึงลงอีกครั้ง หากไม่มีมาตรการต่อเนื่อง
“ลดดอกเบี้ยจึงไม่ใช่เพียงการเสริมมาตรการการคลัง แต่เป็นเครื่องมือพยุงเศรษฐกิจหลังมาตรการระยะสั้นสิ้นสุดลง"
- มองดอกเบี้ยต่ำยาว จากเศรษฐกิจซึมลึก
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า การประชุม กนง.ครั้งนี้อาจเป็น “จุดทดสอบ” สำคัญ เพราะเป็นช่วงแรกที่มีกรรมการใหม่เข้าร่วม ทำให้ทิศทางการตัดสินใจอาจหลากหลายมากขึ้น ทั้งกลุ่มที่ต้องการลดต่อเนื่อง และกลุ่มที่อยากคงไว้ก่อน
ดังนั้นครั้งนี้อาจเห็นเสียงแตก เพราะเพิ่งลดดอกเบี้ยในรอบก่อนหน้า โดยมองว่า หาก กนง.คงอัตราดอกเบี้ยที่ 1.50% ในรอบนี้ และอาจปรับลดอีกครั้งเดือนธ.ค.
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวมองว่าควรลดดอกเบี้ย เนื่องจากเศรษฐกิจอ่อนแรงและต้องการแรงพยุง วันนี้เศรษฐกิจไทยชะลอตัว การลดดอกเบี้ยจะช่วยลดภาระหนี้ประชาชน ธุรกิจได้ เพราะขณะนี้ หลายภาคส่วนธุรกิจเริ่มเปราะบาง ภาคการผลิต และอุปสงค์ในประเทศเริ่มหดตัว
ขณะที่ส่งออกมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจถดถอยอสังหาริมทรัพย์ยังประสบปัญหา รวมถึงต่ออายุหุ้นกู้ (Roll Over) ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันเพิ่ม
ส่วนแนวโน้มดอกเบี้ยในระยะข้างหน้ามองว่า ดอกเบี้ยอาจลดลงได้ “ลึก” กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
โดยประเมินว่า อาจเห็นดอกเบี้ยลงไปถึงระดับ 0.50% จากปัจจุบันที่ 1.50%
“เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะขยายตัวต่ำมานานมาก ดังนั้นดอกเบี้ยอาจต้องอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องยาวกว่าที่หลายฝ่ายคาด ดังนั้นการลดดอกเบี้ยอีกหนึ่งครั้งในปีนี้ ปีหน้าก็อาจลดได้อีก 3 ครั้ง จนถึงระดับต่ำสุดที่ 0.5%”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







