เตือนไทยเสี่ยงภาวะ ‘เงินฝืด’ เวิลด์แบงก์ ชี้เงินเฟ้อ ติดลบ 6 เดือน ต่ำสุดในอาเซียน

เตือนไทยเสี่ยงภาวะ ‘เงินฝืด’  เวิลด์แบงก์ ชี้เงินเฟ้อ ติดลบ 6 เดือน  ต่ำสุดในอาเซียน

“ธนาคารโลก” ระบุไทย-จีน เผชิญแรงกดดันเงินฝืด ดัชนีราคาผู้บริโภคของไทยติดลบติดต่อ 6 เดือน ต่ำสุดในอาเซียน “พาณิชย์” มองไทยอยู่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวช่วงเงินเฟ้อต่ำ ยังไม่เงินฝืดเต็มรูปแบบ “นักเศรษฐศาสตร์” ห่วงสินเชื่อติดลบนาน เสี่ยงฉุดไทยเข้าเงินฝืด ชี้ไทยน่าห่วงกว่าจีนจากกำลังการผลิต-จ้างงานต่ำ ห่วงสินเชื่อติดลบยิ่งฉุดไทยสู่เงินฝืด

KEY

POINTS

  • เวิลด์แบงก์เตือนว่าไทย-จีนเป็นสองประเทศในภูมิภาค ที่เผชิญแรงกดดันจากภาวะเงินฝืด หลังจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบต่อเนื่อง 6 เดือน และอยู่ในระดับต่ำที่สุดในอาเซียน
  • เหตุสำคัญของความเสี่ยงเงินฝืดมาจากกำลังซื้อในประเทศที่อ่อนแอ (อุปสงค์) สินค้าราคาถูกจากจีนที่เข้ามาตีตลาด (อุปทาน) และการเติบโตของสินเชื่อที่ติดลบต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสัญญาณอันตราย
  • กระทรวงพาณิชย์ ชี้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และยังไม่เข้าเกณฑ์เงินฝืดทางเทคนิค
  • แต่นักเศรษฐศาสตร์ชี้ว่าสถานการณ์ของไทยน่าเป็นห่วงกว่าจีน สินเชื่อติดลบยาวยิ่งฉุดเงินเฟ้อต่ำ

เตือนไทยเสี่ยงภาวะ ‘เงินฝืด’  เวิลด์แบงก์ ชี้เงินเฟ้อ ติดลบ 6 เดือน  ต่ำสุดในอาเซียน เศรษฐกิจไทยเผชิญกับความท้าทายรอบด้านจนทำให้การเติบโตรั้งท้ายหลายประเทศในภูมิภาค และอีกหนึ่งความท้าทายคือ ระดับ “เงินเฟ้อ” ของประเทศที่อยู่ในระดับต่ำ อย่างล่าสุด ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของไทย เดือนก.ย.2568 อยู่ที่ 100.11 ลดลง 0.72% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการลดลง 6 เดือนติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2568

นายอาดิตยา แมตทู (Aaditya Mattoo) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) แถลงรายงาน East Asia and Pacific Economic Update ฉบับเดือนต.ค.2025 ประเด็นเงินเฟ้อในภูมิภาค ว่า

ภาวะเงินเฟ้อประเทศส่วนใหญ่ยังอยู่เป้าหมาย แต่มีเพียงแค่ “จีนและไทย” เท่านั้นที่เผชิญแรงกดดันเงินฝืด (Deflationary Pressures)
“ไม่มากก็น้อย เงินเฟ้อในกลุ่มประเทศภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ส่วนใหญ่ยังอยู่ในเป้า มีจีน และไทยสองประเทศที่เผชิญกับแรงกดดันเงินฝืด

นายอาดิตยา กล่าวว่า ปัญหาเงินฝืดในจีนส่งผลให้ปักกิ่งต้องส่งออกไปประเทศอื่นในภูมิภาคด้วยปริมาณเพิ่มขึ้น และราคาถูกลง การนำเข้าสินค้าจากจีนที่มีราคาถูกเหล่านี้ จึงช่วยกดดันเงินเฟ้อในประเทศที่นำเข้า ทำให้อัตราเงินเฟ้อไม่สูงขึ้น แม้ว่าจะสร้างความกังวลให้อุตสาหกรรมภายในประเทศที่ต้องแข่งขันกับสินค้าจากจีน

นอกจากนี้ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยหลายประเทศในภูมิภาคนั้นสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยในประเทศอุตสาหกรรม (ประเทศเศรษฐกิจขั้นสูง) ผลที่ตามมาคือ เกิดกระแสเงินทุนไหลเข้า (capital inflows) จำนวนมาก ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งนี้ได้มีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน 
 

“ดังนั้นหลายประเทศในภูมิภาค รวมถึงอินโดนีเซีย จึงผ่อนคลายนโยบายการเงินได้ เพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศ”

นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การที่เงินเฟ้อติดลบมา 6 เดือน ยังไม่ถือว่าเป็นเงินฝืด แต่เป็นภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในช่วงเงินเฟ้อต่ำ

สำหรับเงินฝืดต้องมีองค์ประกอบหลายด้านสำคัญแม้เงินเฟ้อทั่วไปติดลบแต่เงินเฟ้อพื้นฐานยังเป็นบวก สะท้อนการบริโภคยังมีต่อเนื่อง อัตราจ้างงานของไทยยังไม่เปลี่ยนแปลงจนน่ากังวล และแม้จีดีพีไทยจะต่ำแต่ก็ยังขยายตัว แต่ยอมรับว่าสถานการณ์ที่ไม่เกิดขึ้นบ่อย

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่างบประมาณจากภาครัฐ และมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายที่กำลังออกมา เช่น คนละครึ่ง กระตุ้นท่องเที่ยว โดยจะมีผลต่อการเพิ่มความเชื่อมั่นการใช้จ่ายของผู้บริโภค แต่ไม่มีผลต่อเงินเฟ้อจะสูงขึ้นเร็ว เหมือนกับการสูงขึ้นของราคาอาหารสด และราคาพลังงานปีนี้ที่มีสัดส่วนกว่า 29% ในการคำนวณเงินเฟ้อ

ทั้งนี้ หากเทียบอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ณ เดือนส.ค.2568 พบว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยลดลง 0.79 % โดยอยู่ระดับต่ำอันดับ 9 จาก 140 เขตเศรษฐกิจที่ประกาศตัวเลข และต่ำสุดในกลุ่มประเทศอาเซียน 9 ประเทศที่ประกาศตัวเลข (บรูไน สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา อินโดนีเซีย เวียดนาม สปป.ลาว)

  • ‘เวิลด์แบงก์’ เพิ่มเป้า ‘จีดีพีไทย’โต 2%

นายอาดิตยา กล่าวว่า สามทศวรรษที่ผ่านมาเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกและเอเชียแปซิฟิกเติบโตสูงแต่เริ่มเห็นทิศทางขาลง โดยปีนี้คาดว่าอยู่ที่ 4.8% และอยู่ที่เพียง 4.3% ในปีหน้า ซึ่งลดลงจาก 5.0% ในปีที่แล้ว

โดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจใหญ่สุด 5 ชาติอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์ และไทย การเติบโตอยู่ที่ 4.6% ในปีนี้ และ 4.5% ในปีหน้า ซึ่งเติบโตต่ำกว่าช่วงปี 2024 เห็นได้ชัด

สำหรับการเติบโตของจีดีพีไทย มีแนวโน้มเติบโต 2% ในปี 2025 และ 1.8% ในปีหน้า ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นประมาณการจากเดิมในรายงานเดือนก.ค. มองว่าทั้งปีนี้จะโตได้เพียง 1.8% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในรายงานยังระบุว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองอาจทำให้การใช้จ่ายของประชาชน และการลงทุนในภาพรวมชะลอตัวลง

  • “ซีไอเอ็มบีไทย” ห่วงเสี่ยงเงินฝืด

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์เงินเฟ้อติดลบต่อเนื่อง สะท้อนความน่าห่วง 2 ด้าน คือ

1.ด้านอุปทานจากราคาสินค้าที่ทะลักจากจีนเข้ามาทำให้มีราคาถูก รวมถึงเรื่องของวัตถุดิบที่ราคาลดลง เช่น ราคา น้ำมันดิบ และราคาผัก ผลไม้บางส่วน 

2.ด้านอุปสงค์ ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญอย่างมาก และสะท้อนความเสี่ยงเรื่องเงินฝืด (Deflation) คือ กำลังซื้อของคนที่อ่อนแอภายใต้ภาพที่เศรษฐกิจโตต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกำลังซื้อในระดับรากหญ้าที่เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความเสี่ยงที่น่ากังวลต่อเนื่อง

ทั้งนี้ สถานการณ์เงินเฟ้อของไทยน่าห่วงกว่าจีนเพราะแม้ว่าจีนจะมีข่าวคนว่างงาน แต่รัฐบาลจีนพยายามเต็มที่ในการรักษา และเพิ่มระดับการจ้างงาน โดยการเพิ่มการผลิตสินค้าเพื่อให้คนมีงานทำ 

ขณะที่ไทยไม่มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น โดยหากดูจากดัชนีภาคการผลิตของไทยที่อ่อนแอ ภาคเกษตรก็อ่อนแอ รวมถึงภาคบริการที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงจากปีที่แล้ว ด้วยภาพรวมนี้ ทำให้ไทยน่ากังวลมากกว่าจีนอย่างมาก

“ไม่ควรมองเทียบเฉพาะจีนเท่านั้น แต่หากเทียบกับญี่ปุ่น เนื่องจากโมเดลของไทยมีความคล้ายคลึงกับญี่ปุ่น โดยเฉพาะปัญหาเชิงโครงสร้าง และการเข้าสู่สังคมสูงอายุ”

รวมทั้งหากดูญี่ปุ่นที่เคยใช้นโยบาย Abenomics ที่อาจนำมาศึกษาว่าหากทำแล้วจะมีผลข้างเคียงเป็นอย่างไร และควรตระหนักว่าเงินบาทไม่ได้เป็นสกุลสากลเหมือนเงินเยนที่ทำให้มีความเสี่ยงมากกว่าที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ทั้งนี้จากปัญหาเงินเฟ้อติดลบหรือเงินเฟ้อต่ำที่ยาวนานถือเป็นโจทย์ใหญ่ และเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยนโยบายการเงินอย่างเดียวไม่สามารถดูแค่เงินเฟ้อได้ แต่ต้องดูทั้งนโยบายการคลัง นโยบายการเงิน และนโยบายเศรษฐกิจอื่นไปพร้อมกัน

สำหรับโจทย์ต่อไปคือ ความร่วมมือระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลังในการเดินหน้าแก้ไขปัญหานี้ ทั้งการแก้ปัญหาอุปสงค์ ทำให้คนมีรายได้โตขึ้น การขึ้นราคาที่สะท้อนต้นทุนก็จะช่วยให้ผู้ประกอบการมีกำลังซื้อได้ด้วย

อีกทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ใช้ต้องไม่ใช่แค่มาตรการชั่วคราว เช่น มาตรการคนละครึ่งเท่านั้น แต่ต้องเป็นมาตรการที่สานต่อระยะกลางถึงยาวได้ รวมถึงการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง แก้ปัญหาสินค้าจีนทะลักหรือการยกระดับเอสเอ็มอี

  • ห่วงสินเชื่อติดลบยิ่งฉุดไทยสู่เงินฝืด

นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ความกังวลจากเงินเฟ้อต่ำที่อาจนำไปสู่เงินฝืดเป็นความกังวลที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะสิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดในขณะนี้สำหรับไทย คือ สถานการณ์ด้านสินเชื่อที่ลดลงต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปีแล้ว และคาดการณ์ว่าปีนี้สินเชื่อมีแนวโน้มลดลงเพิ่มอีก

ดังนั้นหากสถานการณ์การลดลงของสินเชื่อต่อเนื่อง อาจก่อให้เกิดความกังวลมากขึ้น เนื่องจากเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่ากลไกการส่งผ่านทางเศรษฐกิจนั้นทำงานได้ไม่ดี โดยสินเชื่อที่ลดลงเกิดจาก ทั้งฝั่งผู้กู้ และผู้ให้กู้ ฝั่งประชาชน และธุรกิจอยู่ในหมวดของการลดหนี้ (delveraging)การลดความเสี่ยง และลดหนี้สิน ขณะที่ฝั่งธนาคารก็ไม่กล้าที่จะปล่อยสินเชื่อออกไป

ดังนั้นเมื่อเศรษฐกิจโดยรวมไม่ดี และเกิดภาวะสินเชื่อลดลงต่อเนื่องย่อมส่งผลกระทบ แม้กระทั่งธุรกิจที่ดีอาจกำลังขาดสภาพคล่อง

สำหรับปัญหาเงินเฟ้อต่ำสะท้อนวันนี้ทางการที่เกี่ยวข้องยังไม่ดำเนินการแก้ไขจริงจังถือเป็นเรื่องน่ากังวล เพราะการไม่แก้ปัญหา เกิดขึ้นแล้วในญี่ปุ่นที่เข้าภาวะเงินฝืด ซึ่งแสดงให้เห็นความเสี่ยงภาวะฝืดเรื้อรัง เพราะเมื่อใดที่สินเชื่อลดลงต่อเนื่องทุกปี เศรษฐกิจจะเข้าภาวะฝืดได้ต่อเนื่อง ซึ่งญี่ปุ่นเคยเผชิญกับภาวะเงินฝืดติดต่อกันยาวนานถึง 30 ปี ก่อนที่จะสามารถหลุดพ้นจากภาวะดังกล่าวออกมาได้

ดังนั้นภาครัฐ ธปท.อาจต้องเตรียมมาตรการหรือนโยบายที่อาจไม่ใช่แค่การปรับดอกเบี้ยเท่านั้น หรืออาจหันไปทำนโยบายคล้ายกับ QE โดยเป็นการเน้นไปที่ปริมาณเงินหรือมาตรการเชิงปริมาณ

  • หอการค้า” ชี้ประชาชนไม่กล้าจับจ่าย

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า เงินเฟ้อไทยที่ลดต่ำลง 6 เดือน แม้จะส่งสัญญาณเข้าภาวะเงินฝืด แต่ทางเชิงเทคนิคยังไม่ถือเป็นภาวะเงินฝืด โดยข้อเท็จจริงคือ ประชาชนไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย ประหยัดได้ก็ประหยัด

จึงทำให้รัฐบาลต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “คนละครึ่งพลัส” ซึ่งกระตุ้นเศรษฐกิจดี และเร็วเพราะถ้าปล่อยไปจะทำให้ผู้บริโภคไม่กล้าจับจ่าย และผู้ผลิตไม่กล้าผลิตจะกระทบซัพพลายเชน

ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า เงินเฟ้อช่วงต่อไปจะปรับลดลง และปรับคาดการณ์เงินซื้อเงินเฟ้อทั้งปี 0% บ่งชี้ว่ากำลังซื้อกำลังหายไป ภาคการผลิตก็ผลิตสินค้าเท่าที่จำเป็น เพื่อไม่ให้เกิดภาวะขาดทุน

ขณะที่ผู้บริโภคก็ไม่กล้าจะจ่ายใช้สอยมัน ภาวะแบบนี้ถือเป็นสัญญาณที่น่ากลัวถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ แต่หากรัฐจะมีมาตรการอะไรต่างๆ มาเสริมเป็นระยะๆ ก็น่าจะเป็นตัวช่วยได้

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์