ออมอย่างไรไม่ให้สะดุด ไม่หลุดเป้าการศึกษาของลูก

วางแผนการออมโดยคำนึงถึงเงินเฟ้อและค่าเล่าเรียนที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5-7% ต่อปี เพื่อให้มีเงินเพียงพอเมื่อถึงเวลาที่ลูกต้องใช้จริง จัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับช่วงเวลา โดยลงทุนในหุ้นสำหรับแผนระยะยาว และเพิ่มสัดส่วนตราสารหนี้เมื่อใกล้ถึงเวลาต้องใช้เงิน เพื่อลดความเสี่ยง
KEY
POINTS
- วางแผนการออมโดยคำนึงถึงเงินเฟ้อและค่าเล่าเรียนที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5-7% ต่อปี เพื่อให้มีเงินเพียงพอเมื่อถึงเวลาที่ลูกต้องใช้จริง
- จัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับช่วงเวลา โดยลงทุนในหุ้นสำหรับแผนระยะยาว และเพิ่มสัดส่วนตราสารหนี้เมื่อใกล้ถึงเวลาต้องใช้เงิน เพื่อลดความเสี่ยง
- ปิดความเสี่ยงด้านค่าใช้จ่ายสุขภาพด้วยการทำประกันสุขภาพและประกันโรคร้ายแรง เพื่อป้องกันไม่ให้เงินออมเพื่อการศึกษาถูกนำไปใช้ในกรณีฉุกเฉิน
- โอนความเสี่ยงจากเหตุไม่คาดคิดที่อาจเกิดกับผู้ปกครอง เช่น การเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ ด้วยการทำประกันชีวิต เพื่อให้มั่นใจว่าแผนการออมเพื่อลูกจะไม่หยุดชะงัก
- พิจารณาใช้ผลิตภัณฑ์ประกันที่ออกแบบเพื่อการศึกษาบุตรโดยเฉพาะ ซึ่งช่วยสร้างวินัยการออมและปิดความเสี่ยงทางการเงินได้รอบด้าน ทำให้แผนการศึกษาของลูกเป็นไปตามเป้าหมาย
พ่อแม่ทุกคนล้วนอยากเห็นลูกประสบความสำเร็จในด้านการศึกษา แต่เส้นทางนั้นมักจะไม่ได้ราบรื่นเสมอไป โดยเฉพาะการเก็บเงินเพื่อการศึกษาที่มักจะกินเวลายาวนานและตลอดทางเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน โดยเฉพาะพ่อแม่หากสะดุดขึ้นมาเพียงครั้งเดียวแผนการศึกษาที่วางไว้อาจจะไม่ถึงเป้าหมาย ทำให้การมีเงินเก็บอย่างเดียวจึงไม่ใช่คำตอบทั้งหมด แต่ต้องวางแผนสะสมเงินควบคู่กับการปิดรอยรั่วความเสี่ยงทางการเงินให้รอบด้าน
“Education is the most powerful weapon” - Nelson Mandela ประโยคนี้แสดงให้เห็นว่า การศึกษาไม่ใช่แค่ความรู้แต่คือพลังที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง และสำหรับพ่อแม่ การสนับสนุนการด้านศึกษาก็เปรียบเหมือนการฝาก “มรดกที่ไม่มีวันหมดอายุ” ไว้กับลูก แต่การเก็บเงินเพื่อการศึกษานั้นกลับไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องใช้เวลายาวนานและมักเจอกับความไม่แน่นอนตลอดทาง ไม่ว่าจะเป็นค่าเล่าเรียนที่สูงขึ้นทุกปี หรือเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นกับครอบครัว โดยความเสี่ยงสำคัญที่อาจทำให้แผนการศึกษาสะดุด ได้แก่
1. เงินเฟ้อและค่าเล่าเรียน: ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาโตเฉลี่ยปีละ 5-7% สูงกว่าค่าใช้จ่ายทั่วไป ทำให้อาจไม่เพียงพอเมื่อถึงเวลาลูกเข้าเรียนจริง การวางแผนจึงต้องตั้งเป้าหมายเผื่อเงินเฟ้อสำหรับค่าเล่าเรียนในอนาคต รวมถึงค่าใช้จ่ายจิปาถะและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเรียนในอนาคตด้วย
2. ความเสี่ยงในทางเลือกการออมเงิน: หลายครอบครัวเลือกลงทุนในตลาดหุ้นเพราะมีโอกาสได้ผลตอบแทนสูง แต่ก็มีความเสี่ยงหากตลาดปรับตัวลงในช่วงที่ต้องใช้เงิน ขณะที่ตราสารหนี้แม้จะมีความปลอดภัยมากกว่า แต่ผลตอบแทนจากดอกเบี้ยมักไม่ทันเงินเฟ้อด้านการศึกษา ผู้ปกครองอาจจะใช้การจัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับช่วงเวลาการใช้เงิน ตัวอย่างเช่น การลงทุนในหุ้นสำหรับการออมเงินระยะยาวมากกว่า 5 ปี และเพิ่มสัดส่วนตราสารหนี้เมื่อใกล้ถึงช่วงที่จำเป็นต้องใช้เงิน
3. ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ: เรื่องสุขภาพมักเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้ครอบครัวจำเป็นต้องนำเงินเก็บออมออกมาใช้ เนื่องจากสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนในครอบครัว นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพมักเป็นค่าใช้จ่ายต่อเนื่องและกระทบต่อแผนการเงินระยะยาว ผู้ปกครองอาจจะกันเงินบางส่วนเพื่อทำประกันสุขภาพและประกันโรคร้ายแรงเพื่อปิดรอยรั่วด้านสุขภาพ
4. เหตุการณ์ไม่คาดคิดกับผู้ปกครอง: หากผู้ปกครองเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ การออมเงินทั้งหมดอาจหยุดลงทันทีและอาจจะทำให้ลูกพลาดโอกาสทางการศึกษา เว้นแต่จะมีเครื่องมือทางการเงินเช่น ประกันตลอดชีวิต (Whole life) และ ประกันชั่วระยะเวลา(Term life) ช่วยปิดความเสี่ยง โดยมีจุดเด่นคือ เป็นแบบที่ให้ทุนประกันสูงขณะที่เบี้ยประกันไม่แพงนัก ทำให้มีเงินเหลือมากขึ้นเพื่อไปใช้ในการลงทุน
อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่านอกจากการเลือกสินทรัพย์สำหรับออมเงินและบริหารกระแสเงินสดให้เหมาะสมแล้ว การโอนความเสี่ยงโดยเฉพาะความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับผู้ปกครองนับเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากเพราะมีผลกระทบต่อแผนการออมมากที่สุด หลายครอบครัวจึงเลือกออมเงินผ่านผลิตภัณฑ์ประกันที่ออกแบบมาเพื่อการศึกษาบุตรโดยเฉพาะ เพราะนอกจากจะสร้างวินัยการออมอย่างแน่นอนแล้วยังออกแบบมาเพื่อปิดรอยรั่วทางการเงินได้รอบด้านโดยเฉพาะกับผู้ปกครอง ทำให้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็มั่นใจได้ว่าลูกยังคงมีทุนการศึกษาจนครบตามแผนที่ตั้งใจไว้ และเงินออมเพื่อการศึกษาจะกลายเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด ดังที่คุณ Benjamin Franklin เคยกล่าวไว้ว่า “An investment in knowledge pays the best interest.” หรือ การลงทุนกับความรู้ ให้ผลตอบแทนดีที่สุดเสมอ







