'ท็อป-จิรายุส' ชี้ อนาคตไทยต้องเร่งสร้าง 3 ความรู้หลัก สุขภาพ–ดิจิทัล–การเงิน กุญแจสู่ S-Curve ใหม่ของประเทศ

'ท็อป-จิรายุส' ชี้ อนาคตไทยต้องเร่งสร้าง 3 ความรู้หลัก สุขภาพ–ดิจิทัล–การเงิน กุญแจสู่ S-Curve ใหม่ของประเทศ

ท็อป-จิรายุส ชี้ กุญแจสำคัญสู่อนาคตคือการพัฒนาความรู้ 3 ด้านที่ต้องเดินไปพร้อมกัน ได้แก่ สุขภาพ , ดิจิทัล และการเงิน เพื่อสร้างโอกาสและ S-Curve ใหม่ให้ประเทศ

KEY

POINTS

  • กุญแจสำคัญสู่อนาคตคือการพัฒนาความรู้ 3 ด้านที่ต้องเดินไปพร้อมกัน ได้แก่ ความรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy), ดิจิทัล (Digital Literacy) และการเงิน (Financial Literacy) เพื่อสร้างโอกาสและ S-Curve ใหม่ให้ประเทศ
  • ไทยมีศักยภาพในการเป็น "Longevity Hub" ของโลก โดยใช้จุดแข็งด้านสุขภาพ อาหาร และธรรมชาติ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้สูงวัยทั่วโลกที่ต้องการมีชีวิตที่ยืนยาวและสุขภาพดี ซึ่งเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่สำคัญ
  • เทคโนโลยี AI และเศรษฐกิจดิจิทัลกำลังจะกลายเป็นระบบปฏิบัติการของทุกอุตสาหกรรม ไทยจำเป็นต้องเร่งพัฒนาบุคลากรและปรับตัวสู่ Digital Trade เพื่อให้สามารถแข่งขันและหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง
  • ระบบการเงินโลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล โดยสินทรัพย์ทุกชนิดจะถูกเปลี่ยนเป็นดิจิทัลโทเคน (Tokenization) และซื้อขายบนบล็อกเชน (Blockchain) ทำให้ความเข้าใจในเทคโนโลยีนี้เป็นสิ่งจำเป็น
  • ความรู้ทั้ง 3 ด้านนี้ยังไม่ถูกสอนในระบบการศึกษาไทย ซึ่งเป็นรากฐานของปัญหาต่างๆ เช่น หนี้ครัวเรือน และวิกฤตสุขภาพที่กำลังจะเกิดขึ้น จึงจำเป็นต้องผลักดันให้เป็นความรู้พื้นฐานสำหรับคนรุ่นใหม่

โลกกำลังเดินเข้าสู่ยุคใหม่ที่มนุษย์ต้องพัฒนา “ความรอบรู้ 3 ด้าน” เพื่ออยู่รอดและก้าวไปข้างหน้าอย่างมีคุณภาพ Health Literacy, Digital Literacy และ Financial Literacy ซึ่งทั้ง 3 แกนหลักจะกำหนดชีวิตและเศรษฐกิจในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการรับมือกับสังคมสูงวัยและวิกฤตสุขภาพที่กำลังท้าทายประเทศไทย การปรับตัวต่อคลื่นเทคโนโลยี AI และเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังกลายเป็นระบบปฏิบัติการของโลก ไปจนถึงการเปลี่ยนผ่านของระบบการเงินโลกสู่ Blockchain และดิจัทัลโทเคน 

'ท็อป-จิรายุส' ชี้ อนาคตไทยต้องเร่งสร้าง 3 ความรู้หลัก สุขภาพ–ดิจิทัล–การเงิน กุญแจสู่ S-Curve ใหม่ของประเทศ

จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด กล่าวในงาน Sustainability Expo 2025 A Call for Adaptation The Sustainability in Trade & Industry ช่วง Special Talk:  Why the Next Big Thing Must Be Green กล่าวว่า ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่ความท้าทาย แต่คือ “โอกาส” ที่ไทยสามารถใช้สร้าง S-Curve ใหม่เพื่อก้าวพ้นกับดักรายได้และกลายเป็น Longevity Hub และ Digital Hub บนเวทีโลกได้ และถ้าอยากจะเป็นคนของโลกอนาคต The Next Generation of Humans ที่โลกกำลังจะเดินไปข้างหน้าและกำลังจะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน เรื่องแรกความรู้ด้านสุขภาพคือ ซึ่งคนในอนาคตจะต้องรู้ ไม่ว่าจะเป็น Longivity, และ Healthy Living คนก็ยังไม่ได้มีการพูดถึงเยอะกันมากในบ้านเรา กับเรื่องที่ 2 ความรู้ด้านดิจิทัล การมาของ AI และเทคโนโลยีที่จะบูรณาการเข้าสู่เมืองต่าง ๆ คนก็ยังไม่ได้มีการพูดถึงเยอะมากขนาดนั้น หรือเรื่องที่ 3 ความรู้ด้านการเงิน การมาของ Cryptocurrency, Blockchain Technology ซึ่งทั้ง 3 สิ่งอย่างนี้ หากสังเกตจะเห็นว่าไม่มีการสอนในโรงเรียน

'ท็อป-จิรายุส' ชี้ อนาคตไทยต้องเร่งสร้าง 3 ความรู้หลัก สุขภาพ–ดิจิทัล–การเงิน กุญแจสู่ S-Curve ใหม่ของประเทศ

ปัจจุบันจะเห็นว่าหนี้ครัวเรือนก็สูงขึ้นในประวัติศาสตร์ในประเทศไทย เป็นปัญหาที่มีการสะสมมานาน ซึ่งที่ผ่านมาบ้านเราไม่มีการสอนความรู้ด้วยการเงินตั้งแต่สมัยอยู่ในห้องเรียน จนวันนี้ 10 ปีผ่านไป ปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงเป็นประวัติศาตร์  เช่น เดียวกันกับวิกฤตสุขภาพ Longivity ก็ไม่ได้ถูกบันทึกลงไปในการเรียนการสอนเลย หรือในมหาวิทยาลัย และวิกฤติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยต่อจากนี้จะไม่ใช่วิกฤตด้านการเงิน แต่จะเป็นวิกฤตสุขภาพที่จะเกิดขึ้นในบ้านเรา  

ปีที่ผ่านมาเด็กเกิดใหญ่ในปีที่ผ่านมาเหลือเพียงแค่ 500,000 คนเท่านั้น ซึ่งลดลงถึง 50% จากปกติที่เคยผลิตได้ปีละ 1 ล้านคน ขณะที่ปีทีผ่านมามคนเสียชีวิตมากกว่าคนเกิดแล้วในประเทศไทย และถ้าหากเกิดขึ้นแบบปีที่แล้วใน 50 ปีข้างหน้า คนที่มสัญชาติไทยจริง ๆ จะเหลือแค่ 33 ล้านคน จาก 70 ล้านคน ของประชาชนคนไทย เพราะเด็กเกิดใหม่ไม่มีแล้ว 

'ท็อป-จิรายุส' ชี้ อนาคตไทยต้องเร่งสร้าง 3 ความรู้หลัก สุขภาพ–ดิจิทัล–การเงิน กุญแจสู่ S-Curve ใหม่ของประเทศ

มีใครรู้หรือไม่ว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีชื่อเล่นใหม่ ว่า "super aging economy" ซึ่งหมายความว่าเมื่อหันไปทางไหน 1 ใน 5 ของคนไทย 20% ที่เราพบเจอจะมีอายุเกิน 65 ปี และนี่เป็นปัญหาใหญ่มากกว่าที่มากว่า sustainability ที่เกี่ยวกับโลกร้อนเท่านั้น แต่ทว่าผลกระทบต่อสังคม ปัจจุบันอายุการเกษียณอายุไม่ได้มีการปรับกันเลยในบ้านเรา กองทุนประกันสังคมและกองทุนสุขภาพจะ "ระเบิดแน่นอน" เพราะไม่มีเด็กเกิดใหม่มาช่วย คนสูงอายุจะกลายเป็น "เดอะ แบก" เนื่องจากคนเกิดใหม่แค่ 500,000 คน และคนที่เกษียณอายุประกันสังคมก็ยังไม่ได้มีการปรับอายุขึ้น แต่ทว่าการเกษียณอายุเท่าเดิม และมีชีวิตที่อยู่นานขึ้นแบบติดเตียง ซึ่งไม่ได้มากขึ้นแบบมีสุขภาพที่ดี

ปัจจุบันคนไทยอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 75 ปี แต่ช่วงสุขภาพดีอยู่ที่ 65 ปี นั่นหมายความว่า ชายไทยใช้ชีวิต 10 ปีสุดท้ายอย่างทรมาน และใช้จ่ายเงินมหาศาลในการดูแลตัวเองแบบติดเตียง ผู้สูงวัยส่วนใหญ่เสียชีวิตจากกลุ่มโรค NCDs (Non-Communicable Diseases) เช่น โรคสมอง อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน โรคหัวใจ และมะเร็ง นอกจากนี้คนที่อายุประมาณ 30 กว่าปีก็พบว่า เป็นโรคมะเร็งกัน

ขณะเดียวกันสิ่งที่น่าสนใจระหว่างไทยกับสหรัฐที่เหมือนกันคือ ใน 100 คนมีแค่ 6 คนที่ปกติ และ 94 คนยังป่วยแต่แค่อาการยังไม่ออก และความรู้ของคนไทยคือ ต้องรอให้อาการออกถึงจะรับรู้ว่าตัวเองป่วย อย่างเช่น โรคมะเร็งจะมีการอักเสบเป็นระยเวลากว่า 10 ปีถึงจะออกอาการ ดังน้ันเรื่องสุขภาพจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก หากคนไทยไม่มีการให้ความรู้เรื่องของสุขภาพ "กองทุนประกันสังคมจะต้องระเบิด" แน่นอน

'ท็อป-จิรายุส' ชี้ อนาคตไทยต้องเร่งสร้าง 3 ความรู้หลัก สุขภาพ–ดิจิทัล–การเงิน กุญแจสู่ S-Curve ใหม่ของประเทศ  

นโยบาย "30 บาทรักษาทุกโรค เป็นนโยบายที่เก่า ในทางกลับกันประเทศฟินแลนด์เริ่มพูดถึง "30 บาทป้องกันทุกโรค" ซึ่งค่าใช้จ่ายในการป้องกันกับรักษาแตกต่างกันถึง 10,000 เท่า ตัวอย่างเช่น ฟินแลนด์มีการแจกวิตามิน D3 ให้ประชากรฟินแลนด์ 10,000 คน มีค่าใช้จ่ายเท่ากับการรักษาคนไทยที่เป็นมะเร็งแบบติดเตียง 1 คน ลองคิดดูว่าประกันสุขภาพใครจะระเบิดก่อนกัน

ขณะที่แพทย์ในบ้านเราถูกฝึกฝนมาเพื่อรักษาและกดอาการเจ็บป่วยของคนไข้ที่มีถึง 155,000 อาการ แต่ไม่เคยเรียนรู้เรื่องการกลับไปแก้ที่ต้นตอของ 12 ตัวชี้วัด นอกจากนี้การดูแลแบบแยกส่วนขัดแย้งกับหลักการ "System Biology" ที่ร่างกายเชื่อมโยงกัน ดังนั้นการเปลี่ยนแนวคิด ระบบปัจจุบันคือ "Disease Care" เพราะทุกคนที่อยู่ในโรงพยาบาลคือคนป่วย แต่สิ่งที่ควรทำคือการสร้างสุขภาพที่ดี

"ในการสร้างตึกก็สำคัญมาก ทุกคนรู้หรือไม่ว่า PM2.5 ที่เราเดินไปข้างนอกสูญอากาศเข้าไปในร่างกาย โดยที่ไม่เคยเช็กค่า PM2.5 ก่อนออกจากบ้าน และเกิน 100 เท่ากับการสูบบุหรี่ถึง 3 มวน และ PM2.5 เป็นโมเลกุลที่เล็กมากที่จะผ่านเข้าสู่ร่างกายไปทำาลายเซลล์สมอง หรือการใช้น้ำหอม เป็นการสร้างเซลล์มะเร็งล้วน เป็นอีกเรื่องที่เราต้องมีการอัพเดตระบบเฮลล์แคร์" 

ดังนั้นการสร้างโอกาสของไทยกับ S-Curve ใหม่ของไทย คือ  Longevity Hub หรืออุตสาหกรรม Health Care ของไทยมีความสามารถในการแข่งขันสูง ประเทศไทยควรสร้าง S-Curve ใหม่ยังแข็งแกร่ง นั่นคือการเป็น Longevity Hub ของโลก เนื่องจากไทยมีจุดแข็งที่ไม่มีใครเทียบได้ในด้าน Longivity ทั้งในเรื่องของทะเล ภูเขา การเป็นครัวของโลก และพืชผักสมุนไพร และคนที่มีเงินส่วนใหญ่คือคนสูงวัยทั่วโลก ซึ่งพวกเขาต้องการ "ซื้อเวลา" บนโลกนี้ให้ยาวนานที่สุด ซึ่งไทยมีความเชี่ยวชาญในการตอบสนองความต้องการดังกล่าว

'ท็อป-จิรายุส' ชี้ อนาคตไทยต้องเร่งสร้าง 3 ความรู้หลัก สุขภาพ–ดิจิทัล–การเงิน กุญแจสู่ S-Curve ใหม่ของประเทศ

ขณะที่การบูรณาการเทคโนโลยีและ AI กำลังจะกลายเป็น Operating System ของทุกอุตสาหกรรมในอีก 5 ปีข้างหน้า เช่นเดียวกับไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ หรืออินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน ซึ่งต่อไปโลกจะไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิม มีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2573 ซึ่ง 1 ใน 3 ของคนทั้งโลก จะต้องกลับไปเรียนหนังสือใหม่ เพราะ AI จะเปลี่ยนวิธีการทำงานในทุกอุตสาหกรรมอย่างมหาศาล

"ประเทศไทยไม่ได้เก่งเรื่อง Digital Economy และยังมีความแตกต่างด้านบุคลากรอย่างมาก เช่น เวียดนามผลิตบุคลากรด้าน Science and Technology ได้ 500,000 คนต่อปี ขณะที่ไทยได้เพียงหลักหมื่นคน ต่างกัน 50 เท่า"

นอกจากนี้ โลกกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญของระบบการเงิน หรือ Financial System เงินที่ถือครองอยู่จะหายไปประมาณ 10% ทุกปี เนื่องจากการลดค่าของเงินซึ่งรุนแรงกว่าอัตราเงินเฟ้อปกติ และทุกอย่างที่มีมูลค่าจะถูกทำให้เป็นดิจิทัลโทเคน ตลาดหลักทรัพย์จะอยู่บน Blockchain ขณะที่สินทรัพย์ทุกชนิด เช่น เพชร ทอง ที่ดิน จะถูกเปลี่ยนเป็นโทเคน ทำให้มีการเปลี่ยนมือในตลาดรองที่มีสภาพคล่องสูงมาก

"ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา อินเทอร์เน็ตได้เปลี่ยนทุกอย่างที่เป็นข้อมูลให้เป็นดิจิทัล แต่ในอีก 5 ปีข้างหน้า ทุกอย่างที่เป็นมูลค่าจะถูกเปลี่ยนให้เป็นดิจิทัล ปัจจุบันเศรษฐกิจดิจิทัลอยู่ที่ 15.5% ของ GDP โลก แต่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 70% ในอีก 10 ปีข้างหน้า"

และหลังจากนี้ประเทศไทยต้องเลิกพึ่งพาเพียงแค่ Physical Trade เช่น ยางพารา ข้าว รถยนต์สันดาป ซึ่งเป็นตลาด Red Ocean ที่มีการตัดราคา นอกจากนี้ไทยขาดดุลทางเศรษฐกิจดิจิทัลมหาศาล เช่น การจ่ายเงินให้ Facebook, ChatGPT ดังนั้นประเทศไทยจำเป็นต้องมีทักษะและผลักดันกิจกรรม GDP ชนิดใหม่ เพื่อหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง ได้แก่ Digital Trade รวมถึงDigital Service Trade และ Green Trade ซึ่งปีที่ผ่านมาเติบโต 300%