เปิดภารกิจแรก ผู้ว่าแบงก์ชาติ “วิทัย” เดินเครื่องตั้ง AMC แก้หนี้รายย่อย 7 พันล้าน

วงในชี้ ภารกิจแรกผู้ว่า เคาะจัดตั้ง AMC ซื้อหนี้รายย่อย คาดใช้เงินซื้อหนี้ 7,000 ล้านบาท อุ้มลูกหนี้กว่า 3.4 ล้านรายให้หลุดพ้นวงจรหนี้
แนวคิดการนำ “AMC” หรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ กลับมาใช้เป็นกลไกสำคัญในการแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชน ถูกหยิบยกขึ้นอีกครั้งในรัฐบาล “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี หลังจากก่อนหน้านี้ประเด็นดังกล่าวเคยได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวางในรัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” เพื่อหาทางช่วยเหลือประชาชนให้หลุดพ้นจาก “วงจรหนี้” หรือกับดักหนี้ที่ยืดเยื้อ
การจัดตั้ง AMC ครั้งนี้มุ่งเน้นการเข้าไปจัดการกับหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง แม้ตัวเลขล่าสุดจะปรับลดลงบ้าง แต่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพียังอยู่เกือบ 90% คิดเป็นมูลค่ากว่า 13.55 ล้านล้านบาท โดยในจำนวนนี้กว่า 50% เป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน
ยิ่งไปกว่านั้น หนี้ที่น่ากังวลคือ “หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้” หรือเอ็นพีแอล (NPL) เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ที่ 9% ของหนี้ทั้งหมด ขณะเดียวกันยังมีหนี้ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้ (TDR) อีก 8% และหนี้ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ (SM) อีกกว่า 4%
ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความเปราะบางของครัวเรือนไทยที่รายได้ลดลงสวนทางกับรายจ่ายที่ยังสูง ภายใต้สภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
แนวทางของรัฐบาลในการตั้ง AMC “แก้หนี้เอื้ออาทร” มุ่งไปที่กลุ่มหนี้ไม่มีหลักประกัน และต้องเป็นลูกหนี้ที่มียอดหนี้ไม่เกิน 100,000 บาท กลุ่มเป้าหมายนี้มีประมาณ 3.4 ล้านราย รวมมูลค่าหนี้กว่า 123,000 ล้านบาท
เปิดภารกิจวันแรก ตั้ง AMC ซื้อหนี้รายย่อย 7,000 ล้านบาท
ล่าสุดแหล่งข่าวจากอาคาร 1 ชั้น 5 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2568 ที่ผ่านมา หลังจาก“วิทัย รัตนากร” ผู้ว่าการ ธปท. เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ วังบางขุนพรหมเพื่อเริ่มต้นการทำงาน
หลังจากนั้นได้มีการเริ่ม "ภารกิจแรก" ทันที โดยการเรียกประชุมกับหลายองค์กร เกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบาย AMC เอื้ออาทร เพื่อแก้หนี้รายย่อย
ครั้งนี้มีผู้บริหารระดับสูงจากหลายหน่วยงานเข้าร่วม อาทิ นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์), ดร.เบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง, ผู้บริหารจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.), รวมถึงตัวแทนจากสมาคมธนาคารไทย
เช่น นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทยและกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย, นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารทีเอ็มบีธนชาต, นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้อำนวยการใหญ่เครดิตบูโร และผู้บริหารจาก ธปท. ทั้งดร.รุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน และนางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ รองผู้ว่าการด้านบริหารธปท.
การหารือหลักของการประชุมครั้งนี้ คือการ จัดตั้ง AMC โดยให้ “บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM)” เป็น AMC กลางเพื่อเดินหน้าโครงการแก้หนี้ และรับซื้อของประชาชนจากสถาบันการเงิน
เนื่องจาก SAM เป็นรัฐวิสาหกิจที่มีกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ การใช้ SAM จึงเป็นการสร้างความโปร่งใส และปิดโอกาสในการเข้ามาแสวงหากำไรจากการแก้ปัญหาหนี้ประชาชน
สำหรับเงินทุนที่จะใช้ในการซื้อหนี้เสียครั้งนี้ มาจากเงินที่เหลือจากกองทุนฟื้นฟูฯ ภายหลังการปรับลดอัตรานำส่งของสถาบันการเงินชั่วคราวจาก 0.46% เหลือ 0.23% ทำให้กองทุนฟื้นฟูฯ มีเงินเข้าสนับสนุนโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ราว 39,000 ล้านบาทต่อปี หลังจากดำเนินการครบสองเฟส ปัจจุบันยังเหลือเงินอยู่ 26,000 ล้านบาท
ดังนั้นรัฐบาลมีแนวคิดแบ่งเงินก้อนนี้จำนวน 10,000 ล้านบาท มาใช้ในโครงการ AMC โดยจัดสรร 7,000 ล้านบาทเพื่อซื้อหนี้เสียจากระบบการเงินในราคาประมาณ 5% ของหนี้รวม 123,000 ล้านบาท และกันไว้ 3,000 ล้านบาทเป็นค่าบริหารจัดการของ SAM รวมถึงใช้เป็นทุนหมุนเวียนสำหรับปล่อยสินเชื่อใหม่ให้กับผู้ที่ต้องการต่อยอดธุรกิจหรือประกอบอาชีพ
สำหรับเงื่อนไขเข้าร่วมโครงการ สำหรับลูกหนี้ที่จะเข้าร่วมโครงการ ต้องยอมให้มีการติดรหัสในระบบเครดิตบูโร เพื่อป้องกันการก่อหนี้ใหม่โดยไม่จำเป็น หากต้องการกู้เพิ่ม ต้องผ่านการประเมินจาก “อารีย์สกอร์” ของกระทรวงการคลังก่อน โดยพิจารณาจากประวัติการชำระหนี้ย้อนหลัง 12 เดือน
กลุ่มลูกหนี้เป้าหมายในโครงการนี้ ภายใต้วงเงินรวม 123,000 ล้านบาท แบ่งเป็นหนี้จากผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์) 85,000 ล้านบาท หนี้จากธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ 18,000 ล้านบาท และหนี้จากธนาคารพาณิชย์ 16,000 ล้านบาท







