‘กสิกรไทย‘ เพิ่มเป้าหนุน ’ความยั่งยืน‘ แตะ5 แสนล้านในปี 73

‘กสิกรไทย‘ เพิ่มเป้าหนุน ’ความยั่งยืน‘ แตะ5 แสนล้านในปี 73

“กสิกรไทย” ปรับเป้าเพื่อความยั่งยืนสู่ 4-5 แสนล้านในปี 73 จากเป้าเดิมที่ 2 แสนล้าน หวังธุรกิจมุ่งสู่ “ความยั่งยืน” มากขึ้น ชี้มีโอกาส “ซื้อหุ้นคืน” หลัง “พีอี” ระดับต่ำ เงินกองทุนสูง ยันปันผลปีนี้ นโยบายเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น ด้านสินเชื่อรับมีโอกาส “ติดลบ” จากเศรษฐกิจชะลอ ลูกค้าแห่คืนหนี้

นายจงรัก รัตนเพียร ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวว่า ล่าสุดธนาคารได้ปรับเป้าหมายสินเชื่อและเงินลงทุนเพื่อความยั่งยืนเป็น 4-5 แสนล้านบาท ภายในปี 2573 เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

เนื่องจากมองว่าการขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืน ต้องอาศัยทุกภาคส่วน โดยเฉพาะแบงก์ในการขับเคลื่อนให้เกิดความยั่งยืนมากขึ้น ทั้งการปล่อยสินเชื่อ การสนับสนุนด้านเงินทุน ผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ เพื่อให้ลูกค้ามุ่งไปสู่ความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

โดยหากดูการให้การสนับสนุนเป้าหมายทางการเงินเพื่อความยั่งยืน ธนาคารดำเนินการไปแล้ว ที่ 1.7 แสนล้านบาทในปัจจุบัน และคาดว่าสิ้นปีนี้ สินเชื่อดังกล่าวน่าจะแตะระดับ 2 แสนล้านบาท ซึ่งการสนับสนุนเงินด้านความยั่งยืนถือว่าครอบคลุมทั้ง สินเชื่อ พันธบัตร และการลงทุน ต่างๆ

“การเพิ่มเป้าหมายในด้านความยั่งยืน ก็สะท้อนว่าธุรกิจจะได้รับในส่วนของ ESG มากขึ้นในระยะข้างหน้า ดังนั้น คาดหวังว่าผลที่จะเกิดจาการขยับเป้าครั้งนี้จะมีผลหรือ Impact ต่อสังคมและลูกค้าสูงมาก”

อย่างไรก็ตาม จากความท้าทายรอบด้านทั้งในและต่างประเทศ ล่าสุดธนาคารได้ทบทวนกลยุทธ์การทำงานด้านความยั่งยืนเพื่อช่วยให้ธนาคารสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้เร็วขึ้น ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและสังคมได้ชัดเจนขึ้น จึงเปลี่ยนจากการดำเนินงานความยั่งยืนด้วยแกนสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG-based Strategy)

ไปสู่ยุทธศาสตร์ความยั่งยืนบนแนวทางใหม่ที่เน้นการจัดการประเด็นสำคัญแบบองค์รวม เชื่อมโยงมุมมองทุกด้านที่เกี่ยวข้อง โดยกำหนดความมุ่งหมายชูเป็นแกนกลางของการทำงาน

สำหรับภาพรวมธุรกิจธนาคาร คาดสินเชื่อโดยรวมปีนี้มีโอกาสติดลบเล็กน้อย หากเทียบกับการคาดการณ์เดิมที่คาดจะ “ทรงตัว” หากเทียบกับปี 2567 ส่วนหนึ่งถือเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจในปัจจัยที่ชะลอตัวทำให้ความต้องการสินเชื่อลดลง

นอกจากนี้ ยังมาจากการคืนหนี้ของภาคธุรกิจที่สูงขึ้นด้วย ส่งผลสินเชื่อโดยรวมปรับตัวลดลง ทั้งยังมาจากการระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อของธนาคารภายใต้เศรษฐกิจปัจจุบัน ที่ธนาคารมีการคัดกรองลูกค้ามากขึ้น

โดยเฉพาะลูกค้าที่มีศักยภาพ ส่วนลูกค้ากลุ่มที่เสี่ยงสูงกลุ่มนี้ธนาคารอาจชะลอปล่อยสินเชื่อเนื่องจาก ความกังวลเกี่ยวกับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ เอ็นพีแอล อาจเพิ่มขึ้น

ดังนั้น กลยุทธ์การปล่อยสินเชื่อของธนาคารในเวลานี้คือ มุ่งเน้นคน หรือธุรกิจที่ใช่ ที่กลุ่มนี้ธนาคารพร้อมสนับสนุนเต็มที่ สำหรับลูกค้าที่มีโอกาสดีและธุรกิจที่ยังดีอยู่ เช่น กลุ่มบริการ หรือที่เกี่ยวกับธุรกิจก่อสร้างที่ได้รับผลบวกจากเงินภาครัฐที่ยังมีต่อเนื่อง ส่วนที่เสี่ยงสูงกลุ่มนี้อาจต้องชะลอการปล่อยกู้ออกไปก่อน

ส่วน “หนี้เสีย” ธนาคารเชื่อว่า ปีนี้ ธนาคารจะสามารถคุมหนี้เสียให้อยู่ในระดับที่ตั้งเป้าหมายไว้ได้ที่ 3.25% ในสิ้นปีนี้ จากการบริหารพอร์ต และการระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ  ทั้งนี้ในส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยต่อรายได้ หรือ NIM คาดว่า มีโอกาสลดลงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ ดังนั้นภายใต้สินเชื่อที่ลดลง เศรษฐกิจไม่เติบโตธนาคารต้องหันมาหารายได้อื่นๆเข้ามามากขึ้น ทั้ง ค่าธรรมเนียม หรือ ธุรกิจเพื่อความมั่งคั่ง ที่ยังเป็นธุรกิจที่เติบโตได้ดี

ด้านนโยบายเงินปันผล ธนาคารตั้งเป้าการจ่ายเงินปันผลในปีนี้อย่างน้อย “เท่าเดิม” หรือ “เพิ่มขึ้น” สำหรับผลการดำเนินงานทุกปี และสำหรับปันผลปกติ แต่สำหรับ Special Dividend หรือ “ปันผลพิเศษ” ส่วนนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละปีว่าจะจ่ายหรือไม่ และมีโอกาสลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้ ส่วนนโยบาย Share Buyback หรือ “การซื้อหุ้นคืน” ที่ถือเป็นเครื่องมือที่ใช้ทั่วโลก และธนาคารเคยทำในปี 2563 ซึ่งมีโอกาสสูง ที่ธนาคารอาจซื้อหุ้นคืนได้ หากดูราคาหุ้นของธนาคารต่ำกว่าบุ๊กเวลู หรือ P/E อัตราส่วนของราคาต่อกำไร ซึ่งปัจจุบันราคา P/E ก็ถือว่าต่ำกว่าบุ๊กเวลู และปัจจุบันมีเงินกองทุนอยู่ในระดับสูง ที่สามารถทำได้