'ธปท.-ผู้ค้าทองคำ' หารือลดผลกระทบ ‘เงินบาท‘ ลงตัว ปัดตกเก็บภาษี

สมาคมค้าทองคำ -ธปท. หารือลดแรงกระเพื่อมเงินบาท ไร้เก็บภาษี พร้อมนำส่งข้อมูลและรับแนวคิด แซนด์บ็อกซ์เคลียริ่งดอลลาร์- แบ่งกลุ่มลูกค้าซื้อขายทองออนไลน์สกุลดอลลาร์
KEY
POINTS
- ผู้ค้าทองคำ พร้อม ส่งข้อมูลการนำเข้า-ส่งออก ช่วง2สัปดาห์ถึง 1 เดือนข้างหน้า เพื่อร่วมกันติดตามผลกระทบต่อค่าเงินบาทร่วมกับธปท.
- ผู้ค้าทองเสนอให้การซื้อขายทองออนไลน์เป็นสกุลดอลลาร์จำกัดเฉพาะกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ ไม่ใช่ลูกค้ารายย่อยทั้งหมด
- มีการเสนอแนวคิด "แซนด์บ็อกซ์เคลียริ่งดอลลาร์" เพื่อลดต้นทุน ซึ่ง ธปท. รับไปพิจารณา
- ประเด็นการเก็บภาษีทองคำไม่ถูกหยิบยกมาหารืออย่างจริงจัง และมีแนวโน้มที่จะไม่เกิดขึ้น
วานนี้ (1 ต.ค.) สมาชิกสมาคมผู้ค้าทองคำ ร่วมหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามที่ได้นัดหมาย เพื่อหาแนวทางลดผลกระทบข้างเคียงต่อค่าเงินบาท นั้น
นายแพทย์กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก จำกัด หรือ MTS Gold เปิดเผยว่า ธปท. ขอให้ผู้ประกอบการค้าทองคำแต่ละบริษัท นำส่งข้อมูลนำเข้าส่งออกทองคำ ในช่วงอีก 2 สัปดาห์ถึง 1 เดือนข้างหน้า เพื่อติดตามสถานการณ์ผลกระทบต่อเงินบาทร่วมกันอีกระยะหนึ่ง ซึ่งทางผู้ประกอบการค้าทองคำ พร้อมให้ความร่วมมือนำส่งข้อมูลตามรายละเอียดของธปท.
อีกทั้ง ผู้ประกอบการค้าทองคำและสมาคมฯ สรุปความเห็นร่วมกันว่า การพัฒนาระบบแซนด์บ็อกซ์เคลียริ่งดอลลาร์ ระหว่างธนาคารพาณิชย์ด้วยกันก่อนส่งเงินไปสหรัฐ จะช่วยให้เกิดความคล่องตัวและลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ซึ่ง ทางธปท.รับแนวคิดไปพิจารณา และคาดว่ายังใช้เวลาศึกษาอีกพอสมควร คงต้องติดตามต่อไป
ต่อมาในส่วนที่ ธปท.ต้องการผลักดันให้ผู้ประกอบการค้าทองคำออนไลน์ ซื้อขายเป็นสกุลดอลลาร์กับลูกค้าทุกกลุ่มนั้น ทางผู้ประกอบการค้าทองคำ มีแนวคิดว่า ระบบดังกล่าวผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาและคงต้องใช้เวลาพอสมควร ก็รับมาพิจารณา
แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับ แม่ทองสุก เป็นผู้ค้าทองคำออนไลน์รายใหญ่และรายใหญ่ที่ใช้ระบบดังกล่าวอยู่แล้ว ร่วมกับแอปฯ ของเป๋าตัง เคพลัส และไดร์ม จึงได้นำเสนอว่า การให้ลูกค้าทุกกลุ่มที่ซื้อขายทองคำออนไลน์เป็นดอลลาร์นั้น "ไม่ควรทำ"
แต่สามารถแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าระดับกลางและใหญ่ "ทำได้เท่านั้น" คือ ผู้ค้าส่ง และผู้ค้าระหว่างประเทศ แต่ลูกค้าระดับล่าง คือ รายย่อย เห็นว่า ไม่จำเป็นต้องทำ เพราะปริมาณไม่ได้มากจนกระทบต่อเงินบาท รวมถึงซื้อขายทองหน้าตู้แดง ก็เป็นที่นิยมกันดีอยู่แล้ว
นอกจากนี้ ในเรื่องของเก็บภาษีทอง ดูเหมือนว่าในประเด็นนี้คงเป็นไปได้ยากแล้วและอ่อนลงมาก ไม่ได้มีการหารือมากนัก
พร้อมกันนี้การทำงานของสมาคมฯ ร่วมกับผู้ค้าทองคำแท่งออนไลน์รายใหญ่12-18ราย เตรียมใช้ระบบการควบคุมและตรวจสอบภายในองค์กร คาดว่า ภายใน12เดือนข้างหน้าจะสามารถใช้ระบบดังกล่าวได้ครบทั้งหมด ซึ่งเป็นระบบมาตรฐานตามหลักเกณฑ์ของ ปปง.และก.ล.ต. เพื่อให้เกิดความโปร่งใส่และประชาชนมั่นใจมากขึ้น
“การหารือร่วมกันในวานนี้เป็นไปด้วยดีและเข้าใจกันมากขึ้น ซึ่งในช่วงนี้ราคาทองก็ปรับตัวขึ้นกว่าที่คาดใกล้ระดับ 60,000 บาท ขณะที่เงินบาทก็ยังอ่อนค่าด้วย เงินบาทไม่ได้แข็งค่า ส่วนความผันผวนที่เกิดขึ้นวานก่อนหน้า สะท้อนถึงการปรับฐานลงแต่ไม่นาน จากนั้นราคายังขึ้นต่อได้อย่างแข็งแกร่ง มองเป็นโมเมนตัมขาขึ้นในระยะกลางและยาวต่อไป"
นายแพทย์ กฤรัตน์ กล่าวว่า แนวโน้มราคาทองคำโลกปลายปีนี้อาจขึ้นไปถึง 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และราคาทองคำไทยน่าจะพุ่งทะลุ 61,000 บาท
โดยมี 3 ปัจจัยหลักเป็นแรงผลักดันสำคัญ คือ 1. การลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed โดยการลดดอกเบี้ยครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 กันยายน ที่ผ่านมา เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ราคาทองคำค่อย ๆ ปรับตัวสูงขึ้น จากระดับ 54,000 บาทต่อบาททองคำ มาสู่ระดับ 57,000 บาทต่อบาททองคำ
2. ภาวะ Government Shutdown ในสหรัฐฯ ในช่วงระหว่างวันที่ 25 กันยายน จนถึงปัจจุบัน ปัจจัยเรื่องความตึงเครียดจากการประชุมสภาสหรัฐฯ ในการผ่านร่างงบประมาณ จนเกิดภาวะ Government Shutdown ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ประเด็นนี้ได้หนุนให้ราคาทองคำปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 57,000 บาทต่อบาททองคำ มาอยู่ที่ระดับ 59,500 บาทต่อบาททองคำ ณ ขณะนี้
และ 3. แนวโน้มการลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง ปัจจัยบวกที่ยังเกื้อหนุนการขึ้นของราคาทองคำคือแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ Fed ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเนื่องใน ปลายเดือนตุลาคมและเดือนธันวาคม







