Leveraged และ Inverse ETFs

Leveraged และ Inverse ETFs

L&I ETFs เหมาะสำหรับการลงทุนระยะสั้นเพื่อเก็งกำไรในตลาดที่มีทิศทางชัดเจน และไม่เหมาะกับการถือลงทุนระยะยาวหรือในสภาวะตลาดที่ผันผวน

KEY

POINTS

  • Leveraged ETF (2X) คือ ETF ที่มุ่งสร้างผลตอบแทนเป็นทวีคูณของสินทรัพย์อ้างอิงในแต่ละวัน (สูงสุด 2 เท่าในไทย) ส่วน Inverse ETF (1I, 2I) มุ่งสร้างผลตอบแทนในทิศทางตรงกันข้าม
  • L&I ETFs มีการปรับพอร์ตทุกสิ้นวัน (Daily Rebalancing) ซึ่งทำให้เกิดผลตอบแทนทบต้นรายวัน และอาจส่งผลให้ผลตอบแทนระยะยาวไม่เท่ากับตัวคูณของผลตอบแทนสินทรัพย์อ้างอิงโดยตรง
  • ในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน (ขาขึ้นหรือขาลง) ผลจากการทบต้นอาจทำให้ Leveraged ETF ได้กำไรมากกว่าหรือขาดทุนน้อยกว่า 2 เท่าของผลตอบแทนรวมของสินทรัพย์อ้างอิง
  • ในตลาดที่ไร้ทิศทาง (Sideways) การปรับพอร์ตรายวันอาจทำให้ L&I ETFs ขาดทุนได้ แม้ว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะกลับมาที่จุดเริ่มต้นก็ตาม
  • L&I ETFs เหมาะสำหรับการลงทุนระยะสั้นเพื่อเก็งกำไรในตลาดที่มีทิศทางชัดเจน และไม่เหมาะกับการถือลงทุนระยะยาวหรือในสภาวะตลาดที่ผันผวน

สวัสดีครับในช่วง อาทิตย์ที่ผ่านมา หลายๆท่านอาจจะได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับสินค้าใหม่ในตลาดทุนบ้านเราที่ชื่อว่า L&I ETFs โดยสินค้าทางการลงทุน ตัวนี้ น่าสนใจอย่างไร และก่อนที่จะลงทุน ผู้ลงทุนควรจะต้องทราบอะไรบ้าง วันนี้ผมจะขอให้ คุณปิติพงษ์ รุ่งเรืองวุฒิกุล CFP® ผู้เชี่ยวชาญในด้านการวางแผนการเงินของบริษัท Wealth Creation International Investment Advisory Security Co., Ltd. จะมาเล่ารายละเอียดให้ได้อ่านกันนะครับ 

โดยสำหรับ L&I ETFs นั้นเป็นคำเรียกย่อมาจาก Leveraged และ Inverse ETFs ซึ่งหมายถึง ETFs ที่สามารถ ทำผลตอบแทนสวนทางได้ในขณะที่สินทรัพย์อ้างอิงมีผลตอบแทนติดลบ (Inverse) หรือ ทำกำไรได้มากเป็นจำนวนทวีคูณเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อ้างอิง (Leverage) โดยก่อนที่เราจะเจาะลึกลงไป มากกว่านี้ เรามาเริ่มจากการทำ ความรู้จักกับ ETF กันก่อนดีกว่าครับ

ETF ย่อมาจาก (Exchange Traded Fund) เป็นกองทุนรวมประเภทหนึ่ง ที่ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายได้ในตลาดหลักทรัพย์เหมือนหุ้น (ต่างจาก กองทุนรวมทั่วไปที่ต้องซื้อ ผ่าน บลจ. เท่านั้น) โดย ETF จะมีโครงสร้างการลงทุนตามดัชนีที่ใช้อ้างอิงเช่น หุ้น หรือสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ เช่น หาก เป็น ETF ที่อ้างอิง SET100 ราคาของตัวกอง ETF ก็จะวิ่งตามดัชนี SET100 นั่นเอง เช่นหากวันนี้ดัชนี SET100 ขึ้นมา 1% ตัว ETF ที่อ้างอิง SET100 ก็จะขึ้นมา 1% ด้วยเช่นกัน 

ประโยชน์ของ ETF คือความสะดวกและง่ายต่อนักลงทุนที่ต้องการลงทุน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับ สินทรัพย์ที่ ETF นั้นไปลงทุนนั่นเอง เพราะ ETF สามารถซื้อผ่าน ตลาดหลักทรัพย์ได้ทันที ตัวอย่างเช่นแทนที่จะต้องซื้อ หุ้น 50 ตัวในดัชนี SET50 นักลงทุนก็สามาถเลือกที่จะลงทุนใน ETF ที่อ้างอิง SET50 แทนได้เลย

ทีนี้มาถึงคำถามที่ว่า Leveraged ETF และ Inverse ETF คืออะไร

ตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้วนั้น Leverage ETF ก็คือ ETF ที่ สามารถทำกำไรได้มากเป็นจำนวนทวีคูณเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อ้างอิง โดยในปัจจุบัน Leverage ETF ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะถูกกำหนดให้ทำผลตอบแทนทวีคูณได้ไม่เกิน 2 เท่าของราคาสินทรัพย์อ้างอิง เช่นหากผลตอบแทนวันนั้นของสินทรัพย์อ้างอิง ทำผลตอบแทนได้ 2% ตัว ETF นั้นจะทำผลตอบแทนได้ 4% นั่นเอง โดยนักลงทุนจะสามารถสังเกต ประเภทของ ETF ชนิดนี้ได้จาก ชื่อของ ETF ที่มี “2X” นำหน้าครับ

และในส่วนของ Inverse ETF นั้นก็คือ ETF ที่ สามารถทำผลตอบแทนเป็นบวกในจำนวนเท่ากับมูลค่าของสินทรัพย์ที่ ETF นั้นอ้างอิง ลดลง เช่น สินทรัพย์ อ้างอิงนั้น มูลค่าลดลง -1% จะทำให้ ETF กองนี้ราคา +1% นั่นเอง โดยปัจจุบันในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะถูกกำหนดให้ ETF ประเภทนี้ทำผลตอบแทนได้ 2 แบบคือ Inverse แบบ 1 เท่า และ 2 เท่า โดยนักลงทุนจะสามารถสังเกต ประเภทของ ETF ชนิดนี้ได้จาก ชื่อของ ETF ที่มี “1I” นำหน้าสำหรับ Inverse แบบ 1 เท่า และ “2I” นำหน้าสำหรับ Inverse แบบ 2 เท่า

อย่างไรก็ตาม L&I ETFs จะมีการสรุปผลตอบแทนและปรับพอร์ตเป็นรายวัน (Rebalancing) เพื่อให้สามารถทำ L&I ได้ในวันต่อๆไป ซึ่งผลจากการทำ Rebalancing รายวันแบบนี้ จะให้ผลตอบแทนที่ได้ เป็นผลตอบแทนแบบทบต้นเป็นรายวัน ซึ่งเมื่อนำไปเทียบกับ ผลตอบแทนสินทรัพย์อ้างอิงในระยะยาว ผลตอบแทนที่ได้ อาจจะไม่เป็น 1X หรือ 2X แบบเปะๆ โดยที่สถานการณ์ตลาดที่แตกต่างกัน ผลลัพธ์ที่ได้ จะต่างกันดังนี้ครับ

กรณีที่สินทรัพย์อ้างงอิงนั้นเป็นขาขึ้น ราคาสินทรัพย์อ้างอิง ในวันที่ 1 ราคา 100 บาท / วันที่ 2 ราคา 110 บาท / วันที่ 3 ราคา 121 บาท จะเห็นว่าหากเรา ลงทุนในสินทรัพย์อ้างอิงนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 เราจะได้กำไร 21 บาท หรือ 21% ซึ่งหาก คูณ 2 แล้วจะได้ 42% แต่เนื่องจาก มีการนำผลตอบแทนแบบทบต้นมาคิดด้วย ตัวกอง Leverage ETF นี้จะทำกำไรได้ อยู่ที่ 44%

ในทางกลับกัน หากกรณีที่สินทรัพย์อ้างอิงนั้นเป็นขาลง การขาดทุนของ ETF 2X ก็จะขาดทุนน้อยกว่า ผลตอบแทน ของสินทรัพย์นั้น x2 ด้วยครับ เนื่องมาจากตัวกองมีการนำผลตอบแทนแบบทบต้น ณ สิ้นวันมาคำนวน ด้วยนั่นเอง

และถ้า สินทรัพย์นั้นอยู่ในช่วงราคาไร้ทิศทางที่ชัดเจน (Side Way) ตัว ETF จะมีการตัดกำไร ขาดทุน ณ สิ้นวัน ทำให้ผลตอบแทนที่ได้ ไม่เท่ากับ ผลตอบแทนของสินทรัพย์อ้างอิง เช่นหากผลตอบแทนของสินทรัพย์อ้างอิงวิ่งจาก 100 บาทลงไปที่ 90 บาท แล้ววิ่งกลับมาที่ 100 บาท เท่าเดิมในวันถัดมา กองทุนจะมีการตัดผลตอบแทนของการขาดทุนในวันแรกมาคำนวนด้วย ทำให้ กอง ETF นี้ขาดทุน ทั้งๆที่ตัวสินทรัพย์นั้นราคาไม่ได้เปลี่ยนไป

โดย ณ วันที่เขียนบทความนี้ เราจะมี L&I ETFs ที่อ้างอิง ดัชนี SET50 ให้เลือกลงทุนได้ และคาดว่าต่อไป น่าจะมี L&I ETFs ที่อ้างหลักทรัพย์อื่นๆให้เลือกลงทุนได้มากขึ้นกว่านี้ครับ 

สรุปสุดท้าย จะเห็นได้ว่า L&I ETFs จะเข้ามาช่วยเพิ่มมิติการลงทุนให้นักลงทุนในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม การลงทุนใน L&I ETFs จะมีข้อจำกัดในช่วงจังหวะการเลือกลงทุน โดยจะเหมาะกับในช่วงที่ตลาดมีทิศทางที่ชัดเจน มากกว่าช่วงที่ตลาดไรทิศทางครับ และทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ดังนั้นเราควรต้องศึกษาการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุนนะครับ”