บทเรียนจากเวที KPMG Business Leaders’ Summit 2025: มองความไม่แน่นอนเป็นโอกาสเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

เคพีเอ็มจี เผย ธุรกิจต้องเลิกทำธุรกิจแบบตั้งรับและหันมามองหาโอกาสและช่องทางใหม่ๆ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนท่ามกลางวิกฤตซ้อนวิกฤต แนะปรับกลยุทธ์สู่ Glocalization นำแนวโน้มระดับโลกมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบทของแต่ละท้องถิ่น เพื่อรับมือกับการย้ายฐานการผลิต การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน
KEY
POINTS
- เปลี่ยนจากการตั้งรับเป็นการรุก: ธุรกิจต้องเลิกทำธุรกิจแบบตั้งรับและหันมามองหาโอกาสและช่องทางใหม่ๆ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนท่ามกลางวิกฤตซ้อนวิกฤต (Polycrisis)
- ปรับกลยุทธ์สู่ Glocalization: นำแนวโน้มระดับโลกมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบทของแต่ละท้องถิ่น เพื่อรับมือกับการย้ายฐานการผลิต การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน
- ยกระดับอุตสาหกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่ม: ปรับฐานอุตสาหกรรมจากการรับจ้างผลิต (OEM) ไปสู่การออกแบบและสร้างแบรนด์ของตนเอง (ODM/OBM) โดยใช้เทคโนโลยี ระบบอัตโนมัติ และความยั่งยืนเป็นตัวขับเคลื่อน
- ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่: สร้างประสบการณ์ที่เน้นทั้ง Human-centric และ AI-friendly เพื่อตอบสนองความคาดหวังที่สูงขึ้นและความอดทนที่น้อยลงของผู้บริโภค ซึ่งการตัดสินใจซื้อเริ่มขับเคลื่อนด้วย AI มากขึ้น
- ใช้เทคโนโลยีและ AI อย่างมีกลยุทธ์: นำ Cloud, Data และ AI มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพการบริการ โดยต้องอาศัยวิสัยทัศน์ของผู้นำ การพัฒนาบุคลากร และการสร้างความน่าเชื่อถือผ่านความปลอดภัยไซเบอร์
- ใช้กลยุทธ์ M&A เพื่อการเติบโตและกระจายความเสี่ยง: การควบรวมและซื้อกิจการเป็นเครื่องมือสำคัญในการเปิดตลาดใหม่ โดยต้องอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Data-driven) และการตรวจสอบสถานะอย่างรอบคอบเพื่อสร้างมูลค่าที่แท้จริง
- สร้างความร่วมมือและพันธมิตร: การมีพันธมิตรที่พร้อมร่วมคิดและให้มุมมองที่หลากหลาย จะช่วยให้องค์กรสามารถเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสและสร้างการเติบโตที่มั่นคงได้ในโลกธุรกิจที่ซับซ้อน
เจริญ ผู้สัมฤทธิ์เลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เคพีเอ็มจี ประเทศไทย เมียนมา และลาว เปิดเผยว่า โลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยวิกฤตหลายด้านที่เกิดขึ้นพร้อมกัน (Polycrisis) ทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว วิวัฒนาการ AI และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น นอกจากประเทศไทยจะได้รับผลกระทบโดยตรงแล้ว ยังต้องเผชิญแรงกดดันภายในประเทศ ทั้งการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ความตึงเครียดด้านการค้า และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว
ในงาน KPMG Business Leaders’ Summit 2025 ผมได้รับฟังมุมมองจากผู้นำในหลากหลายภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมของไทย ซึ่งตอกย้ำอย่างชัดเจนว่า การทำธุรกิจแบบตั้งรับเพียงอย่างเดียวไม่ใช่ทางออกอีกต่อไป สิ่งสำคัญคือ การมองหาโอกาสและช่องทางใหม่ๆ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน คำถามที่น่าสนใจคือ “ธุรกิจไทยจะสามารถเปลี่ยนความไม่แน่นอนเหล่านี้ให้กลายเป็นโอกาสได้อย่างไร?” ในบทความนี้ ผมอยากถอดบทเรียนและมุมมองที่ได้รับจากเวที KPMG Business Leaders’ Summit 2025 เพื่อให้นักธุรกิจไทยได้ใช้เป็นแนวคิดในการขับเคลื่อนองค์กรของท่านท่ามกลางความท้าทาย
จาก Glocalization สู่การปรับตัวของอุตสาหกรรมไทย
ธุรกิจไทยในยุค Polycrisis ไม่อาจพึ่งพาสูตรสำเร็จเดิมได้อีกต่อไป ธุรกิจไทยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์โดยให้ความสำคัญและพิจารณาโอกาสจากแนวโน้มระดับโลก (Global trends) ไปสู่แนวทางที่สอดคล้องกับบริบทของแต่ละท้องถิ่น หรือที่เรียกว่า Glocalization เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในแต่ละท้องถิ่นอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันก็ต้องพร้อมรับมือกับการ
ย้ายฐานการผลิต (Reshoring) การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจ (Decoupling) ความกังวลเรื่องความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) และแรงกดดันจากการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 และ 5.0 ที่ AI จะเข้ามาทดแทนงานบางประเภทอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นอกจากนี้ การแข่งขันในปัจจุบันนี้ไม่ได้วัดความสำเร็จจากการที่องค์กรได้รับกำไรสูงสุด แต่เป็นการให้ความสำคัญในการยกระดับมาตรฐานและการสร้างมูลค่าเพิ่ม ธุรกิจต้องเสริมความแข็งแกร่งใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ การเพิ่มผลิตภาพ ผ่านการผลิตอัจฉริยะ (Smart manufacturing) และการใช้ AI ควบคู่กับการพัฒนาทักษะบุคลากร การบริหารความเสี่ยง เพื่อกระจายช่องทางตลาดและรักษาความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน และความยั่งยืน ผ่านการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสะอาดและการใช้เทคโนโลยี
สำหรับประเทศไทย สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความจำเป็นในการปรับฐานอุตสาหกรรม จากการรับจ้างผลิตให้ผู้อื่น (Original Equipment Manufacturer: OEM) ไปสู่การรับจ้างออกแบบและผลิต (Original Design Manufacturer: ODM) และการผลิตภายใต้แบรนด์ของตนเอง (Original Brand Manufacturer: OBM) รวมถึงการก้าวจากการพึ่งพาแรงงานจำนวนมากไปสู่ระบบอัตโนมัติ ควบคู่ไปกับการยกระดับประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยี การกระจายความเสี่ยงและการขับเคลื่อนด้วยความยั่งยืน
ผู้บริโภคยุคใหม่: ความคาดหวังที่เปลี่ยนไป
หนึ่งมุมมองจากแบรนด์ชั้นนำของไทยสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคในวันนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป พวกเขามีความคาดหวังสูงขึ้น ความอดทนน้อยลง และไม่พร้อมเสียเวลากับประสบการณ์ที่ไม่ตอบโจทย์ แบรนด์จึงต้องทำให้ได้มากกว่าการขายสินค้า และต้องสื่อสารอย่างจริงใจ เข้าถึงได้ง่าย พร้อมแสดงจุดยืนของแบรนด์อย่างชัดเจน ที่สำคัญคือ พฤติกรรมผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนจากการพึ่งพารีวิวหรือคำบอกต่อไปสู่การตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วย AI ธุรกิจไทยจึงต้องพร้อมรุกทั้งในมิติของ Human-centric และ AI-friendly
AI และเทคโนโลยี: โอกาสและความท้าทายของธุรกิจไทย
Cloud, Data และ AI agents หรือระบบอัจฉริยะที่ทำงานแทนมนุษย์ในบางขั้นตอน จะมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงธุรกิจหากนำมาใช้อย่างถูกวิธีและมีจรรยาบรรณ เทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยเพิ่มทั้งประสิทธิภาพและคุณภาพการให้บริการกับลูกค้า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของผู้นำองค์กร กลยุทธ์ การพัฒนาทักษะของบุคลากร และการสร้าง ความน่าเชื่อถือ (Trust by design) ผ่านมาตรการด้านความปลอดภัยไซเบอร์และการกำกับดูแลที่โปร่งใส
โอกาสจากการลงทุนและกลยุทธ์ M&A เพื่อการเติบโต
ในอีกด้านหนึ่ง ธุรกิจไทยจำนวนไม่น้อยกำลังใช้กลยุทธ์ การควบรวมและซื้อกิจการ (Merger & Acquisition หรือ M&A) เพื่อขับเคลื่อนการเติบโต ไม่เพียงเพื่อขยายธุรกิจ แต่เพื่อเปิดตลาดใหม่และกระจายความเสี่ยง
สิ่งที่น่าสนใจคือ รูปแบบของการตกลงซื้อขาย (ดีล) กำลังเปลี่ยนไป เราจะเห็นการใช้โครงสร้างที่หลากหลายมากขึ้น เช่น Joint venture, Partnership, Growth equity และ Minority deals ขณะเดียวกัน ดีลต่าง ๆ ก็ใช้เวลานานกว่าเดิม เพราะนักลงทุนต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่าแผนธุรกิจมีความสอดคล้องกัน และต้องวิเคราะห์ Synergy ทั้งด้านรายได้และต้นทุนอย่างรอบด้าน เพื่อให้มั่นใจว่าการรวมธุรกิจจะสร้างมูลค่าได้จริง
ความท้าทายที่สำคัญอยู่ที่ การทำให้ดีลสำเร็จ (Execution) ซึ่งมักติดขัดจากปัญหาเรื่องคุณภาพของแผนธุรกิจ ข้อมูล บัญชี หรือกฎหมาย สิ่งนี้ทำให้กระบวนการและความหลากหลายของ การตรวจสอบสถานะ (Due Diligence) กลายเป็นหัวใจสำคัญ นักลงทุนจึงหันมาใช้ข้อมูลเชิงลึกและเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI เพื่อช่วยวิเคราะห์มากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนว่า M&A ในไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของ การลงทุนที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-driven investment) อย่างแท้จริง
บทสรุป: จากความไม่แน่นอนสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
ความไม่แน่นอนเป็นบททดสอบที่ผู้นำจะได้พิสูจน์วิสัยทัศน์ กลยุทธ์ และความกล้าในการเปลี่ยนแปลง สิ่งสำคัญไม่ใช่การตั้งรับ แต่คือการก้าวไปข้างหน้า มองหาโอกาสใหม่ และสร้างรากฐานความยั่งยืนให้กับทั้งองค์กรและเศรษฐกิจไทย
โลกธุรกิจซับซ้อนเกินกว่าจะเดินเพียงลำพัง ผมเชื่อว่าการมีพันธมิตรที่พร้อมจะร่วมคิด ร่วมเดิน และให้มุมมองหลากหลายด้าน จะช่วยให้องค์กรไทยเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส และพร้อมที่จะสร้างการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืน







