ลุ้นรัฐบาลใหม่ ตุลาคมเดือนแห่งความหวัง

ลุ้นรัฐบาลใหม่ ตุลาคมเดือนแห่งความหวัง

การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนำมาสู่รัฐบาลใหม่ นำโดยนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกุล โดยมีเป้าหมายหลักในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ รัฐธรรมนูญ และความมั่นคง นักลงทุนคาดหวังว่ารัฐบาลใหม่ ซึ่งมีทีมเศรษฐกิจเป็นคนนอกที่มีความสามารถ จะสามารถออกมาตรการต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและจัดการปัญหาเศรษฐกิจได้ดีกว่ารัฐบาลก่อนหน้า

KEY

POINTS

  • การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนำมาสู่รัฐบาลใหม่ นำโดยนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกุล โดยมีเป้าหมายหลักในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ รัฐธรรมนูญ และความมั่นคง
  • นักลงทุนคาดหวังว่ารัฐบาลใหม่ ซึ่งมีทีมเศรษฐกิจเป็นคนนอกที่มีความสามารถ จะสามารถออกมาตรการต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและจัดการปัญหาเศรษฐกิจได้ดีกว่ารัฐบาลก่อนหน้า
  • ตลาดการลงทุนยังคงรอดูหน้าตาและการดำเนินงานของรัฐบาลใหม่ ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจ เช่น การปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือของประเทศ และการส่งออกที่ชะลอตัว
  • เดือนตุลาคมปีนี้จึงเป็นเดือนที่นักลงทุนและประชาชนต่างจับตารอด้วยความหวังว่า รัฐบาลใหม่จะสามารถออกมาตรการที่ดีเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศได้ทันท่วงที

ภาวะการลงทุนเดือนกันยายน ก็ถือว่าเป็นอีกเดือนที่ยังคงความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทางการเมือง ของประเทศไทย ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็ส่งผลต่อภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงที่เหลือของปี ส่วนปัจจัยภายนอกน่าจะเหลือเพียงแค่การแสดงภาพทิศทางการปรับลดดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาที่จะยังคงสอดคล้องไปกับมุมมองด้านอัตราดอกเบี้ย และภาวะเศรษฐกิจหรือไม่อย่างไร ลองมาดูในรายละเอียดกัน

ขอเริ่มที่สหรัฐอเมริกา FOMC มีมติ 11-1 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 4.00 - 4.25% ในเดือน ก.ย. นับเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งแรกของปีนี้ ทั้งนี้น่าจะมาจากแรงกดดัน ของตลาดแรงงาน รายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรออกมาเพิ่มขึ้นเพียง 22,000 ตำแหน่งในเดือนสิงหาคม ต่ำกว่าที่ตลาดคาดอย่างสำคัญ แถมตัวเลขในเดือนมิ.ย.ก่อนหน้า ยังถูกหั่นลงสู่ระดับติดลบอีกด้วย ถือเป็นการติดลบครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2020 ไม่พอแค่นั้น อัตราการว่างงานยังปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4.3% ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2021 ที่การจ้างงานที่ชะลอตัวลง อัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้น 

ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อก็ยังคงปรับตัวสูงขึ้น กรรมการ FED ส่วนใหญ่มีมุมมองว่า FED ควรจะมีการปรับลดดอกเบี้ยอีก 0.50% กับการประชุม 2 ครั้งที่เหลือในปีนี้ มาดูทางด้าน เอเชียกัน BOJ คงอัตราดอกเบี้ยเป้าหมายที่ 0.5% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และยังประกาศว่าจะขายการถือครอง ETF และ J-REITs ในอัตราปีละประมาณ 0.05% ของปริมาณการซื้อขายในตลาด โดยปัจจุบัน BOJ ถือครองกองทุน ETF อยู่ราว 75 ล้านล้านเยน (507 พันล้านดอลลาร์) การลดปริมาณการถือครองดังกล่าวถือได้ว่าไม่มีนัยสำคัญต่อภาวะการลงทุนแต่อาจจะเป็นการเพิ่มสภาพคล่องให้ ตราสารดังกล่าวเท่านั้น

หันมามองที่ประเทศไทย Fitch Ratings ปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยจาก “คงที่” เป็น “เชิงลบ” โดยอ้างถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อฐานะการคลัง จากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อและแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ทั้งนี้ ยังคงให้อันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศของไทยไว้ที่ระดับเดิม “BBB+” สอดรับกับมุมมองของรัฐบาลที่อาจจะต้องดำเนินการเร่งใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการ คนละครึ่ง รวมทั้งการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ ยอดส่งออกรวมของไทยเดือนสิงหาคมขยายตัวชะลอลงเหลือเพียง 5.8% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้และต่ำกว่าเดือนก่อนที่ขยายตัวถึง 11.0% 

ทั้งนี้ หากหักทองคำออกไป จะพบว่ายอดการส่งออกสุทธิจะขยายตัวเหลือเพียง 3.3% เท่านั้น สะท้อนว่าผลกระทบเชิงบวกจากปรากฏการณ์ Front-load ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมานั้นเริ่มลดลง โดยพบสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ มีอัตราการขยายตัวชะลอลงอย่างชัดเจน

ประเด็นการเมือง จากการพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 และการสิ้นอิสรภาพอดีตนายก ทำให้ภาพการเมืองดำเนินมาสู่การจับขั้วใหม่โดยมีพรรคภูมิใจไทย นำโดยคุณ อนุทิน ชาญวีรกุล และได้รับการถวายสัตย์ฯ ขึ้นเป็น นายกรัฐมนตรี คนที่ 32 ของประเทศไทย โดยมีเป้าหมายหลักที่เกี่ยวข้องกับการแก้รัฐธรรมนูญ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ รวมทั้งปัญหาด้านความมั่นคง

ดังนั้น นักลงทุนส่วนใหญ่ต่างคาดการว่าการออกมาตรการในด้านต่างๆน่าจะออกมาอย่างรวดเร็วรวมทั้งทีมเศรษฐกิจล้วนแล้วแต่เป็นรัฐมนตรีคนนอกที่มากความสามารถมิใช่นักการเมือง ยิ่งทำให้นักลงทุนต่างคาดหวังว่าจะจัดการปัญหาปัญหาเศรษฐกิจได้ดีกว่ารัฐบาลก่อนหน้า

ภาพการลงทุนขอมองผ่านตลาดหุ้นก็จะพบว่ามีทิศทางที่จะปรับตัวสูงขึ้นแต่ท้ายสุดก็ออกด้านข้าง ทั้งนี้น่าจะเป็นการรอดู หน้าตาและการดำเนินงานของรัฐบาลใหม่ ในขณะที่ ช่วงกลางเดือน ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวขึ้นสูงถึง 0.4% ทั้งนี้เป็นผลมาจากนักลงทุนต่างชาติขายทำกำไร ทั้งในเรื่องของราคาพันธบัตรที่ปรับขึ้นสูงจากการคาดการว่า กนง.จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง รวมทั้งกำไรจากการแข็งค่าของค่าเงินบาท 

อย่างไรก็ตามความผันผวนดังกล่าวก็เป็นช่วงสั้นๆ เพราะทิศทางของ อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยก็ยังคงมีแนวโน้มที่จะปรับลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ส่วนค่าเงินบาทก็ยังคงมีทิศทางที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินสหรัฐฯ เพราะแนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯค่อนข้างชัดและมีขนาดที่มากกว่าประเทศไทย แนวโน้มเดือนตุลาคม ภาพการลงทุนในต่างประเทศคงเฝ้าดูทิศทางของ ธนาคารกลางในแต่ละประเทศไม่ว่าจะเป็น สหรัฐฯ ยุโรป และ ญี่ปุ่น ว่าจะมีมาตราการอย่างไรเพื่อรับมือกับ ภาวะเศรษฐกิจที่น่าจะเข้าสู่โหมดชะลอตัวลง และอัตราเงินเฟ้อที่จะทะยอยเพิ่มสูงขึ้นจากมาตราการภาษีของ สหรัฐฯ 

สำหรับประเทศไทยเดือ ตุลาคม ที่ในทุกปีที่ผ่านมามักจะเป็นเดือนที่ไม่ค่อยจะดีนักแต่สำหรับปีนี้ เดือนตุลาคมปีนี้น่าจะเป็นเดือนที่ลุ้นกับความหวังว่า รัฐบาลจะสามารถออกมาตรการดีๆ มาทันช่วย ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง ของประเทศได้อย่างทันท่วงที