‘ประกันภัยไทย’เปลี่ยนเกมแข่ง รับมือ ‘โลกเปลี่ยน-ภัยพิบัติ-การมาของเทคโนโลยี’

ธุรกิจประกันภัยไทยกำลังยืนอยู่บนทางแยกสำคัญ ท่ามกลางแรงกดดันรอบด้าน ทั้งเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ภัยธรรมชาติที่รุนแรงและคาดเดาไม่ได้ การแข่งขันจากผู้เล่นรายใหม่ และความคาดหวังที่สูงขึ้นจากผู้บริโภค
ไม่เพียงเท่านั้น สภาวะการแข่งขันที่รุนแรงจากผู้เล่นรายใหม่ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีดิจิทัล และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ล้วนเป็นแรงกดดันสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่อง
“ดร.สมพร สืบถวิลกุล” นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย ฉายภาพของ “อุตสาหกรรมประกัน” หนึ่งในความท้าทายใหญ่ของอุตสาหกรรมฯ ที่ผ่านมาคือ “ผลกระทบจากภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ที่ทำให้ความเสี่ยงสูงขึ้น และยากจะคาดการณ์ได้
เหล่านี้ส่งผลให้บริษัทประกันภัยเผชิญต้นทุนการรับประกันที่สูงขึ้น
ขณะที่ ความคาดหวังของผู้เอาประกัน ก็มุ่งหวังการใช้บริการที่เข้าถึงง่าย ราคาสมเหตุสมผล และคุ้มครองรอบด้าน ดังนั้น ความไม่สมดุลระหว่าง “ต้นทุน” กับ “ความต้องการของตลาด” เป็นปัญหาที่ผู้ประกอบการต้องหาทางออก
ไม่เพียงเท่านั้น ธุรกิจประกันยังเผชิญกับการแข่งขันจาก “ผู้เล่น” ต่างประเทศ และ “ผู้เล่นใหม่” ที่เข้ามาพร้อมโมเดลธุรกิจแบบดิจิทัล เหล่านี้จึงเป็นแรงกดดันให้บริษัทประกันภัยไทยไม่สามารถ “ยึดติด” กับการแข่งขันในรูปแบบเดิม ๆ ได้อีกต่อไป หากไม่ปรับตัว ก็เสี่ยงต่อการถูกทิ้งไว้เบื้องหลังในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางความท้าทายแต่ธุรกิจประกันภัยไทยยังสามารถรักษาการเติบโตไว้ได้ในระดับที่ดี จากตัวเลขการเติบโตครึ่งปีแรกอุตสาหกรรมประกันภัยที่เติบโตได้สูง 3.5% ซึ่งถือว่าเติบโตเกินเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ตั้งแต่ต้นปีที่ราว 2.5% แม้ช่วงครึ่งปีหลังจะเริ่มเห็นลดลงบ้าง ดังนั้น มองว่าปลายปีภาพรวมการเติบโตน่าจะอยู่ใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ได้
“ตอนนี้สิ่งที่ดูเหมือนไม่ดี แต่พอมีรัฐบาลใหม่ทุกอย่างเหมือนกระเตื้องขึ้นดูเหมือนแนวโน้มที่ดี ช่วงก่อนหน้านี้ที่ดูเหมือนว่าเติบโตมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ คือ ภาษีทรัมป์ที่เข้ามาช่วย ทุกคนกลัวจึงเกิดการนำเข้าส่งออก ที่ทำให้การซื้อประกันต่างๆ เพิ่มขึ้น แต่หลังจากนี้การนำเข้าส่งออกอาจลดลงได้”
สำหรับ ไส้ในการเติบโตของธุรกิจประกันภัย ประกันภัยรถยนต์ ซึ่งถือเป็นสัดส่วนใหญ่ของตลาด พบว่ามีอัตราการเติบโต “ลดลง”
เนื่องจากยอดขายรถยนต์ใหม่ไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง
ขณะที่ ประกันสุขภาพและประกันชีวิต ยังเป็นกลุ่มที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพราะผู้บริโภคตระหนักถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพมากขึ้นหลังยุคโควิด-19
หากมองไปข้างหน้า ที่จะเป็นของการเลือกตั้ง และการตั้งรัฐบาลต่างๆ ที่เข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจของโลกไม่ได้ถึงกับทรุด ที่ยังพอเติบโตได้ ดังนั้นการเติบโตในระยะข้างหน้าอาจเห็นธุรกิจประกันเติบโตได้มากกว่านี้
แต่ก็ปฏิเสธไม่ว่า ท่ามกลางการเติบโตของธุรกิจประกัน หากมองไปข้างหน้าก็ยังเต็มไปด้วยความท้าทายและโอกาส ซึ่งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ชัดเจนขึ้น เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง และพายุรุนแรง เป็นปัจจัยที่ทำให้ความต้องการประกันภัยเกี่ยวกับภัยธรรมชาติมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็กดดันบริษัทประกันภัยให้บริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการขาดทุนเหมือนที่ผ่านมา
“เทคโนโลยีดิจิทัล” ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางอุตสาหกรรม การเข้ามาของแพลตฟอร์มออนไลน์และการใช้ “ข้อมูลขนาดใหญ่” (Big Data) เปิดโอกาสให้บริษัทประกันภัยสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคลได้มากขึ้น
หากดูในแง่ของโครงสร้างตลาด อุตสาหกรรมประกันภัยไทยมีแนวโน้มที่จะ “รวมตัว” หรือรวมกิจการกันมากขึ้นจากแรงกดดันด้านต้นทุนและการแข่งขัน ผู้เล่นรายเล็กที่ไม่สามารถรับมือความเสี่ยงหรือขาดทุนจากเบี้ยประกันที่ต่ำกว่าความเป็นจริง อาจต้องควบรวมกิจการหรือหาพันธมิตรเพื่อความอยู่รอด
ดังนั้น ทางรอดที่จะนำพาธุรกิจประกันให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนต้อง “ปรับตัว” มากขึ้น รับความท้าทายและแนวโน้มใหม่ที่จะเข้ามาในอนาคต โดยกลยุทธ์สำคัญที่จะทำให้ธุรกิจประกันอยู่รอดได้ คือ การบริหารความเสี่ยงอย่างรอบด้าน บริษัทต้องใช้เครื่องมือวิเคราะห์ความเสี่ยงที่ซับซ้อนมากขึ้น เพื่อลดโอกาสการขาดทุนจากภัยพิบัติหรือเหตุการณ์ไม่คาดคิด การทำงานร่วมกับบริษัทประกันภัยต่อระดับสากลจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการกระจายความเสี่ยง
นอกจากนี้ จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว มีความจำเป็นอย่างมากที่บริษัทประกันต่าง ๆ จะปรับตัวรับกับ “นวัตกรรม” จากผู้บริโภคยุคใหม่ที่คาดหวังผลิตภัณฑ์ที่ยืดหยุ่นและตรงกับความต้องการ บริษัทจึงต้องเร่งพัฒนาแผนประกันแบบเฉพาะบุคคล และใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่น การติดตามสุขภาพผ่านแอปพลิเคชัน หรือการเสนอกรมธรรม์ดิจิทัลที่เข้าถึงง่าย
ไม่เพียงเท่านั้นสิ่งที่ต้องทำคือ “การยกระดับความเชื่อมั่น” หลังจากที่บางบริษัทเคยประสบปัญหาการจ่ายสินไหมล่าช้าในช่วงโควิด-19 การฟื้นฟูความเชื่อมั่นของลูกค้าจึงเป็นสิ่งสำคัญ การสื่อสารที่โปร่งใส การสร้างมาตรฐานบริการที่เป็นธรรม จะช่วยให้ผู้บริโภคกลับมาไว้วางใจ
สิ่งที่สำคัญอย่างมากสำหรับการวางรากฐานการเติบโตไปสู่ระยะข้างหน้าของธุรกิจประกัน คือ การลงทุนในบุคลากรและเทคโนโลยี ผ่านการสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ด้านการประกันภัยและเทคโนโลยีควบคู่กัน เป็นสิ่งจำเป็นต่อการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาว
สำหรับ ปัญหาเกี่ยวกับการรับประกันรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ภายใน 1-2 เดือนนี้ สมาคมและสมาชิกจะมีการประชุมร่วมกับ 15 บริษัทประกันที่เป็นท็อปของธุรกิจ เพื่อทบทวนโครงสร้างและเบี้ยประกันอีวีใหม่ หลังจากมีการรับประกันมาประมาณ 3 ปี ปัจจุบันพบหลายบริษัทประสบปัญหา จนเริ่มเห็นการถอยออกจากการรับประกัน หรือปรับเบี้ยเพิ่มขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมามีการแข่งขันค่อนข้างรุนแรง ทำให้การกำหนดเบี้ย กำหนดราคาต่ำกว่าความเสี่ยง ส่งผลให้อัตราส่วนความสูญเสีย (Loss Ratio) ปัจจุบันทะลุ 100%
ซึ่งคาดว่าการหาทางออกเกี่ยวกับการรับประกันอีวีน่าจะมีความชัดเจนได้ภายในกลางปี 2569
“ดร.สมพร” ปิดท้ายว่า หากไทยต้องการก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางด้านประกันภัย การเปิดรับความร่วมมือจากต่างประเทศ ทั้งในรูปแบบการลงทุน การแลกเปลี่ยนข้อมูล และการนำมาตรฐานสากลมาใช้ จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยยกระดับทั้งอุตสาหกรรม
เช่นเดียวกับการจัดเวที TRC Thailand Reinsurance Conference ที่มุ่งเสริมบทบาทไทยให้เป็นศูนย์กลางธุรกิจประกันภัยและการประกันภัยต่อในภูมิภาคเอเชีย และสร้างความเชื่อมั่นต่ออุตสาหกรรมประกันให้เติบโตอย่างยั่งยืนมากยิ่งขึ้น







