เมื่อ Bond Yield พุ่งสูง การลงทุนตราสารหนี้ไทยยังคงน่าสนใจหรือไม่

เมื่อ Bond Yield พุ่งสูง การลงทุนตราสารหนี้ไทยยังคงน่าสนใจหรือไม่

การพุ่งขึ้นของ Bond Yield เป็นการปรับฐานระยะสั้นจากการขายทำกำไร ไม่ได้มาจากความเสี่ยงเชิงพื้นฐาน จึงถือเป็นโอกาสลงทุนที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่รับความผันผวนได้

KEY

POINTS

  • การพุ่งขึ้นของ Bond Yield เป็นการปรับฐานระยะสั้นจากการขายทำกำไร ไม่ได้มาจากความเสี่ยงเชิงพื้นฐาน จึงถือเป็นโอกาสลงทุนที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่รับความผันผวนได้
  • Bond Yield ที่สูงขึ้นทำให้ผลตอบแทนของพันธบัตรน่าดึงดูดใจมากขึ้น และราคาพันธบัตรในตลาดที่ถูกลง ส่งผลให้มูลค่าการลงทุนกลับมาน่าสนใจ
  • ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและนโยบายการเงินของไทยยังคงสนับสนุนการลงทุน โดยเฉพาะแนวโน้มที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายและมีโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในอนาคต
  • ทิศทางดอกเบี้ยขาลง โอกาสที่เงินทุนจะไหลเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ไทย และสภาพคล่องในระบบที่สูง ล้วนเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดตราสารหนี้สำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงยาว
  • อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงจากความผันผวนระยะสั้นและปัจจัยภายนอก ซึ่งอาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเก็งกำไรในระยะสั้น

ในช่วงกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ตลาดพันธบัตรไทยเผชิญกับความผันผวนที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว โดยพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี อัตราผลตอบแทน หรือ Bond Yield ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 26 Basis Points (bps) ภายในระยะเวลาเพียง 5 วันทำการเท่านั้น ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและรุนแรงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติที่ผ่านมา ความผันผวนในลักษณะนี้สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนบางส่วน แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่สามารถลงทุนระยะยาว และรับความผันผวนระยะสั้นได้

สาเหตุหลักของการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วของ Bond Yield ในครั้งนี้ มาจากพฤติกรรมของนักลงทุนที่เริ่มขายทำกำไร (Profit Taking) หลังจากที่ Yield ลดลงมาอย่างมากในช่วงก่อนหน้านี้ โดยไม่ได้เป็นสัญญาณของความเสี่ยง เช่น ความกังวลต่อการผิดนัดชำระหนี้แต่อย่างใด และอาจถูกมองว่า Bond yield มีการปรับฐานระยะสั้นได้

ถึงแม้ว่าความผันผวนนี้จะดูน่ากังวลในระยะสั้น แต่จากมุมมองเชิงพื้นฐานทางเศรษฐกิจและนโยบายการเงินของไทย ไม่ได้บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญในตลาดพันธบัตรไทย ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยยังคงมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต โดย SCB EIC ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตที่ประมาณ 1.8% ในปีนี้ และ 1.5% ในปีหน้า ในด้านนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังคงมีแนวโน้มดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง 

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อไทยยังอยู่ระดับต่ำต่อเนื่อง โดยคณะกรรมการนโยบายการเงินมีแนวโน้มที่จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกประมาณ 2 ครั้งในระยะข้างหน้า เพื่อช่วยลดต้นทุนทางการเงินและส่งเสริมการลงทุน รวมถึงการบริโภคภายในประเทศ คาดว่าอัตราดอกเบี้ยปลายทาง (Terminal rate) จะอยู่ที่ประมาณ 1% ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสมในการรักษาความสมดุลระหว่างการสนับสนุนเศรษฐกิจและการควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับเป้าหมาย

สำหรับ นักลงทุนในตราสารหนี้ Bond Yield ที่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงสั้นนี้กลับเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงโอกาสลงทุนที่น่าสนใจมากขึ้น เพราะเมื่อ Bond Yield สูงขึ้น หมายความว่าพันธบัตรมีผลตอบแทนที่สูงขึ้นและราคาพันธบัตรในตลาดลดลง ส่งผลให้มูลค่าการลงทุนของพันธบัตรรัฐบาลกลับมาน่าสนใจมากขึ้น ประกอบกับแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงของไทยและต่างประเทศ ทิศทางเงินทุนเคลื่อนย้าย (Fund Flow) ในช่วงที่เหลือของปีนี้ที่มีโอกาสไหลเข้ามาสู่ตลาดตราสารหนี้ไทย และระดับเงินทุนภายในระบบการเงินไทยที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง จะยังคงเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดตราสารหนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนที่วางแผนถือครองตราสารหนี้ในระยะกลางถึงระยะยาว ซึ่งจะสามารถเก็บเกี่ยวผลตอบแทนที่ดีในอนาคต อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงและระยะเวลาการลงทุนอย่างรอบคอบ เพราะ Bond Yield อาจมีความผันผวนในระยะสั้น และอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของประเทศอื่น ๆ หรือความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายการค้า ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของ Bond Yield ได้ และอาจไม่เหมาะสำหรับผู้เก็งกำไรระยะสั้น