‘ปิติ’ ห่วงรายใหญ่ยึดตลาด–ธุรกิจสีเทาผงาด ฉุด ‘เอสเอ็มอี’ กำลังจะตาย

เอสเอ็มอีไทยอยู่ยาก หนี้สูง อัตรารอดเพียง 10% เปิดช่องธุรกิจสีเทาแทรกซึม ย้ำถึงเวลายกเครื่องโครงสร้างประเทศอย่างจริงจัง ชู Reinvent Thailand เสนอ 3 แกนใหญ่ปฏิรูปโครงสร้างไทย แก้หนี้ครัวเรือน–สร้างสมดุลธุรกิจ–เพิ่ม VAT เพื่อสร้างสวัสดิการใหม่
ในวันที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายรอบด้าน ทั้งผลกระทบเชิงภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศมหาอำนาจ การแข่งขันระดับภูมิภาคที่รุนแรงขึ้น และแรงกดดันจากปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจภายในประเทศ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยเองต้องเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการ “ปฏิรูปเชิงโครงสร้าง” เพื่อให้ไทยสามารถรอดพ้นจากวิกฤติต่าง ๆ ที่จะเข้ามาเพิ่มเติมในระยะข้างหน้า
ดร.ปิติ ตัณฑเกษม กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารทีเอ็มบีธนชาต (TTB) ได้ฝากมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับการ “ยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย” ในงานประชุมประจำปี 2568 ของสภาพัฒน์ฯ ภายใต้หัวข้อ “Thailand’s Institutional Reform ยกเครื่องโครงสร้างประเทศไทย” ว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องหันมาทบทวนโครงสร้าง
โดยเฉพาะโครงสร้างทางธุรกิจที่ปัจจุบันเอื้อแต่การส่งเสริมธุรกิจขนาดใหญ่ ในขณะที่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็กกลับยิ่งอ่อนแอลงต่อเนื่อง
- โครงสร้างธุรกิจไทยเอื้อรายใหญ่-เปิดทางเกิดธุรกิจสีเทา
หากดูโครงสร้างทางธุรกิจของประเทศไทย เมื่อมองกลับไปในอดีตจะพบว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ส่งเสริมธุรกิจมาตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะช่วงสงครามเย็นที่ประเทศไทยเลือกข้างได้ถูกต้องคือเลือกส่งเสริมทุนนิยมประชาธิปไตย และสนับสนุนโครงสร้างธุรกิจที่เปิดรับต่างชาติให้มาร่วมลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ
โดยเป้าหมายของโครงสร้างของการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในอดีต คือการสนับสนุนธุรกิจทั้งผ่านการร่วมทุน และเอื้อให้ธุรกิจขนาดใหญ่เป็นหัวรถจักรในการขับเคลื่อนตลอดมา
หรือในช่วงเวลาถัดไปหลังจากนั้น ประเทศไทยก็ยังให้การสนับสนุนเอกชนเข้ามาทำแทนในเรื่องใหญ่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพิ่มเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น ภาคโทรคมนาคม ระบบไฟฟ้า ที่ถือเป็นระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะหากไม่ทำเช่นนั้นประเทศไทยคงไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพดั่งเช่นวันนี้
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันโมเดลการสนับสนุนธุรกิจรูปแบบเดิม ๆ ยังถูกทำมาต่อเนื่อง ไม่เพียงเท่านั้นยังกลับกลายเป็นการสนับสนุนให้เกิด “ธุรกิจสีเทา” เกิดขึ้นด้วย เพราะว่าภาครัฐที่สามารถติดสินบนได้ การเคลื่อนไหวของเงินสด ทอง และคริปโตเคอเรนซีต่าง ๆ ยิ่งกลับมาเป็นปัญหาซ้ำเติมให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือ “เอสเอ็มอี” อยู่ยากขึ้น
“ตั้งแต่เฟสแรกของการส่งเสริมการลงทุนมาเรื่อย ๆ เคยมีส่วนไหนในประวัตศาสตร์ประเทศไทยที่ มีโมเดลเอสเอ็มอีบ้าง ไม่มี มีแต่การสนับสนุนการร่วมทุนข้ามชาติ สนับสนุนธุรกิจขนาดใหญ่ วันนี้กลายเป็นสนับสนุนธุรกิจสีเทาโดยไม่ตั้งใจ”
- เอสเอ็มอีกำลังจะตาย หนี้สูง อัตรารอดของธุรกิจมีเพียง10%
อย่างไรก็ตาม เหตุผลสำคัญที่หลายภาคส่วนต้องกลับมาให้ความสนใจกับ “เอสเอ็มอี” มากขึ้น เพราะเอสเอ็มอีในปัจจุบันเป็นแกนหลักของเศรษฐกิจไทย ดูจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทย พบว่า 80-90% ของบริษัทในประเทศกว่า 3 ล้านบริษัทมาจากเอสเอ็มอี หากเทียบกับ 6,000 บริษัทใหญ่ อีกทั้งหากดูการจ้างงานกว่า 80% ก็มาจากเอสเอ็มอี
จึงมาสู่คำตอบของคำถามที่ว่า ทำไมคนไทยรายได้ต่ำเตี้ย เพราะส่วนใหญ่เราถูกจ้างด้วยเอสเอ็มอีที่กำลังจะตาย หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธุรกิจเอสเอ็มอีเพิ่มขึ้นอย่าต่อเนื่อง แม้ภาคธนาคารจะปล่อยสินเชื่อหรือใส่เงินเข้าไปอย่างต่อเนื่องแต่ก็กลับไม่ได้ช่วย เพราะหากดูอัตราการอยู่รอดของเอสเอ็มอีจากสถิติ 3 ปีที่ผ่านมาพบว่า มีอัตราการอยู่รอดเพียง 10% เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างมาก
“ทุกธุรกิจไม่ใช่แต่เอสเอ็มอี แต่ต้องมีบิซิเน็ตโมเดลที่สู้เขาได้ ต้องสามารถแข่งขันได้ มีเทคโนโลยี แต่เอสเอ็มอีบ้านเราคือ “S ME Too” ไม่ได้มีอะไรที่เป็นของเราเอง ดังนั้นสิ่งที่เราโดนผลกระทบอยู่คือ รายใหญ่พอแข่งขันไม่ได้ก็ถอยหลังมาแย่งเอสเอ็มอี สินค้าจากเมืองจีนเข้ามาก็แย่งตลาดเขาอีก เรื่องการส่งออก SME สู้ไม่ได้เลย เพราะขนาดบริษัทใหญ่ยังแข่งยาก ในด้านมูลค่าการส่งออกมีเอสเอ็มอีไม่ถึง 10% นอกจากนี้ ยังโดนธุรกิจใต้ดิน ธุรกิจสีเทาที่เข้ามา อีกทั้งปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ฉวยโอกาสความเป็นเสรีทางการเงินที่เข้าง่ายออกง่าย ก็ยิ่งทำให้เอสเอ็มอีไปยากใหญ่เลย”
ยิ่งไปกว่านั้น หากบอกว่าในปัจจุบันรายใหญ่ยังเหนื่อยในการขออนุญาตต่างๆ เอสเอ็มอีจะยิ่งไม่มีโอกาส ซ้ำร้ายกระบวนการแบบนี้เอื้อให้เกิดธุรกิจรูปแบบใหม่ที่อาศัยความยากลำบากในเรื่องกฎเกณฑ์เป็นช่องว่างเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ธุรกิจอื่นทำไม่ได้ ผ่านการติดสินบน หรือการคอรับชันต่าง ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ธุรกิจสีเทาพร้อมจ่าย นำมาสู่การให้ใบอนุญาต (License) อย่างผิดวิธี
ดังนั้นตอนนี้เอสเอ็มอีน่าห่วงมาก เพราะเป็นแกนหลักของเศรษฐกิจและการจ้างงานหลักของประเทศ ซึ่งหากเราไม่มีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง แกนหลักอย่างเอสเอ็มอีจะค่อย ๆ ตายลง และเมื่อทุกรัฐบาลมาถึงก็จะอัดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ บังคับภาคธนาคารให้ปล่อยสินเชื่อ แต่สุดท้ายทุกอย่างจะละลายหายไปหมด เพราะการที่เอสเอ็มอีอยู่ไม่ได้ คือโครงสร้างทางธุรกิจของเขานั้นไม่สามารถแข่งขันได้ ซึ่งจะนำมาสู่ปัญหาหนี้ครัวเรือน และปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ตามมา
- เร่งไทยยกเครื่องตามข้อเสนอ Reinvent Thailand
สำหรับแนวคิดในการยกเครื่อง เพื่อเป็นความหวังของประเทศในระยะต่อไป ตามข้อเสนอของ “Reinvent Thailand” ดร.ปิติ มองว่าต้องทำผ่าน 3 หัวใจหลักคือ
- 1. การร่วมมือกันทั้งสังคม โดยเรียนรู้จากความสำเร็จในอดีต (Whole Society Approach)
- 2. กระบวนการทางเลือก (Alternate Process)
- 3. แรงจูงใจที่ถูกต้อง (Right Incentive) เช่น โครงการ "คุณสู้เราช่วย ที่ช่วยแก้หนี้ประชาชน ซึ่งทำให้ 70% ของคนที่จะถูกยึดบ้านไม่ถูกยึด โดยโครงการนี้มีแรงจูงใจที่ถูกต้อง คือไม่ได้แจกเงิน แต่ให้ความช่วยเหลือที่ถูกจุด
ซึ่งแนวคิดในการยกโครงสร้างประเทศไทย ตามแผน “Reinvent Thailand” จึงเป็นเสมือนการสร้างบ้าน โดยแยกบทบาทออกจากกันเพื่อให้อยู่รอดจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทั้งนี้ Reinvent Thailand ถูกแยกออกมาเป็น 3 แกน ได้แก่ ภาคประชาชน ภาคธุรกิจ และภาครัฐ
แกนที่ 1 ที่ ภาคประชาชน โดยเรื่องเร่งด่วนที่ต้องแก้คือ ปัญหาหนี้ครัวเรือนและการเข้าถึงสินเชื่อที่เป็นธรรม และปัญหาหนี้ครัวเรือนในปัจจุบันที่เป็นปัญหามากที่สุดคือหนี้สหกรณ์ เพราะไม่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของแบงก์ชาติ, ตามมาด้วย หนี้กยศ., หนี้ Non-bank, และหนี้นอกระบบ
เพราะหากดูหนี้เสีย (NPL) ที่อยู่ในระบบธนาคาร จะพบว่ามีสัดส่วนน้อย หากเทียบกับหนี้ที่อยู่นอกระบบหรือส่วนอื่นๆที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การจัดเก็บข้อมูล ของบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (National Credit Bureau: NCB)
ในอดีตมีวาทกรรมที่เรียกร้องให้ยกเลิก NCB ซึ่ง ดร.ปิติ มองว่าเรื่องนี้แก้ปัญหาไม่ถูกต้อง เพราะการแก้ไขปัญหาที่แท้จริงคือ ควรส่งเสริมการใช้ข้อมูลและประวัติใน NCB เพื่อสร้างคะแนนความน่าเชื่อถือ (Credit Score) เพื่อให้ประชาชนได้ดอกเบี้ยที่ถูกลงหากคะแนนอยู่ระดับที่ดี ดังนั้นหากเราทำเรื่องเหล่านี้ เช่น การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน การเข้าถึงสินเชื่ออย่างเป็นธรรม ธุรกิจขนาดเล็กก็จะสามารถเริ่มลืมตาอ้าปาก และทำให้ภาคประชาชนแข็งแรงขึ้นได้
แกนที่ 2 ภาคธุรกิจ วันนี้รูปแบบของธุรกิจไทยมี 2 แบบคือ รายใหญ่ได้อาวุธมากมาย ได้รับการเสริมแกร่ง แต่สิทธิประโยชน์จาก BOI เหล่านี้เอสเอ็มอีกลับไม่สามารถเข้าถึงได้ ดังนั้นสิ่งที่ควรเป็นและอยากเห็นคือรูปแบบธุรกิจ “ดอกไม้กับแมลง” ที่ต่างพึ่งพากัน แต่วันนี้ธุรกิจของไทยคือ "ไจแอนท์แย่งไอติมเด็ก" เมื่อรายใหญ่ออกไปแข่งนอกบ้านลำบาก จึงถอยกลับมาทำการควบรวมกิจการแบบย้อนกลับ (backward integration) ยึดตลาดตลอดเส้น ในขณะที่รายใหญ่มีทุน มีโครงสร้างทางธุรกิจที่เกื้อหนุน, มีขั้นตอนกระบวนการและเทคโนโลยี ในขณะที่รายเล็กไม่มีอะไรเลย
ดังนั้นข้อเสนอ ตามแผน Reinvent Thailand คือการผลักดันการใช้มาตรฐาน GMBT (Greenly Made by Thai) กับสินค้าไทย ซึ่งใช้วิธีคล้ายอุตสาหกรรมยานยนต์ในอดีต ที่กำหนดให้มีการผลิตในประเทศและมีกฎเรื่องถิ่นกำเนิดสินค้า (Local Content) เพื่อลดภาษีสรรพสามิต มาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐควรต้องทำเหมือนมาตรฐานรถยนต์สมัยก่อน ต้องผลิตอย่าง Green, ต้องมีกฎด้านถิ่นกำเนิดสินค้าว่ามาจากประเทศไทย ดังนั้นเราจึงควรใช้จังหวะนี้ยกเครื่องใหม่ โดยการให้มี GMBT คล้ายฉลากเบอร์ 5 ที่ใครปฎิบัติตามก็จะมีโอกาสรับความได้เปรียบจากการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
- ชูเพิ่ม VAT 3%รัฐได้เงินเพิ่มอีก4แสนล้าน เอื้อจัดระบบสวัสดิการใหม่
สุดท้าย แกนที่ 3 ของภาครัฐ ที่เราอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง คือการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อีก 3% จาก 7% เป็น 10% และทำให้เป็นแบบหลายขั้น (Multi-tiered VAT) โดยคาดว่าจาก VAT ที่เก็บได้ประมาณ 1 ล้านล้านบาท การขึ้น 3% จะทำให้รัฐได้เงินเพิ่มประมาณ 400,000 ล้านบาท
ภาครัฐจะสามารถนำเงินที่ได้มาจัดระบบสวัสดิการใหม่ โดยแบ่งเป็น 3 ชั้น ชั้นล่างสุด เป็นการแจกสิทธิ์ โดยกลุ่มรายได้น้อยจะได้รับผ่าน Promptpay ไม่ใช่แบบคนละครึ่ง ซึ่งผู้รับจะต้องลงทะเบียนและรับสิทธิ์ตามประเภท เช่น ชาวไร่ชาวนา รับปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ และคนในเมือง รับสิทธิ์เติมน้ำมันลดค่าไฟ โดยอาจได้รับเป็นคะแนน (Point) เช่น 10,000 พอยท์ เพื่อไปแลกสิทธิประโยชน์
ขณะที่ชั้นกลาง อาจได้รับสิทธิเช่นคนละครึ่ง หรือชั้นบนสุดอาจได้รับเป็นปัจจัยกระตุ้น เช่น มาตรการช่วยชาติ ใบเสร็จดิจิตอล (e-receipt) เป็นต้น แต่เงื่อนไขคือทุกคนต้องได้รับสิทธิจากภาครัฐต้องอยู่ในระบบ และร้านค้าทุกร้านที่รับสิทธิ์เองต้องอยู่ในระบบด้วยเพื่อดึงเศรษฐกิจนอกระบบขึ้นมา
“เราต้องสร้างทางเลือกใหม่ (alternate choice) ทำถนนวิ่งคู่ สร้างแรงจูงใจและให้แต้มต่อกับการเปลี่ยนแปลง การแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องนั้นเป็นเรื่องจำเป็นแต่ใช้เวลานาน ก็เหมือนการซ่อมถนนพระรามสองที่ก็ต้องค่อย ๆ ซ่อมไป แต่ในระหว่างนี้ต้องสร้างอีกถนนอีกเส้นหนึ่ง คือบางนาตราดมอเตอร์เวย์ บอกเขาว่ามาวิ่งอีกเส้นหนึ่งสิแต่ต้องจ่ายเงินนะ ตั้งเป้าหมายภายในกี่ปีกระบวนการเดิมจึงจะหายไป เมื่อมีถนนเส้นใหม่คนก็จะหันมาใช้งานมากขึ้น รถก็จะไม่ติด เราก็จะไปได้”
สรุปแล้ว แผนการยกเครื่องประเทศนี้จะต้องเป็นสิ่งที่สามารถปฏิบัติได้จริงและต้องคงอยู่ต่อไป แม้การเมืองจะเปลี่ยนแปลง โดยจะต้องเป็นแผนที่คนไทยถือร่วมกันในฐานะเจ้าของประเทศ เราไม่ควรมองนักการเมืองเป็นสถาปนิกและวิศวกร แต่ฝากความหวังไว้กับพวกเขาในฐานะผู้รับเหมา เพื่อให้การปฏิรูปโครงสร้างนี้ยืนหยัดอยู่ได้ และดำเนินไปอย่างต่อเนื่องไม่ว่าการเมืองจะเป็นอย่างไร







