ยื่นประมาณการครึ่งปี เรื่องสำคัญที่เจ้าของธุรกิจต้องรู้

ยื่นประมาณการภาษีเงินได้นิติบุคคลกลางปี หรือที่ "ภ.ง.ด.51" ที่ผู้ประกอบการต้องเข้าใจ เพราะหากยื่นผิด ยื่นช้า หรือไม่ยื่นเลย ก็อาจถูกเบี้ยปรับจากกรมสรรพากร
ในโลกของธุรกิจ การวางแผนและการจัดการด้านภาษีอย่างรอบคอบถือเป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยให้กิจการเดินหน้าไปได้อย่างมั่นคง หนึ่งในภารกิจที่ผู้ประกอบการหลายคนอาจมองข้าม หรือยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ก็คือ “การยื่นประมาณการภาษีเงินได้นิติบุคคลกลางปี” หรือที่รู้จักกันในชื่อแบบ ภ.ง.ด.51 แม้จะเป็นหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติเพียงปีละครั้ง แต่ก็มีผลกระทบต่อภาระภาษีโดยรวมและภาพลักษณ์ทางธุรกิจในระยะยาว หากยื่นผิด ยื่นช้า หรือไม่ยื่นเลย ก็อาจถูกเบี้ยปรับเงินเพิ่มจากกรมสรรพากรโดยไม่จำเป็น
ซึ่งบทความนี้จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจเข้าใจถึงความสำคัญของการยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 ว่าเกี่ยวข้องกับอะไร ใครต้องยื่น ยื่นเมื่อใด และมีข้อควรระวังอะไรบ้าง เพื่อเตรียมความพร้อมและหลีกเลี่ยงปัญหาทางภาษีที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง
ภ.ง.ด.51 คืออะไร
ภ.ง.ด.51 หรือแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี เป็นแบบที่นิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทยต้องยื่นเพื่อ ประมาณการกำไรสุทธิ และ คำนวณภาษีที่ต้องชำระในช่วงครึ่งปีแรก ของรอบบัญชี โดยปกติแล้วจะต้องยื่นภายใน สองเดือนหลังจากครบรอบหกเดือนของรอบบัญชี ซึ่งในปี 2568 กำหนดยื่นด้วยกระดาษ ภายในวันที่ 1 ก.ย. 68 และยื่นแบบทางอินเทอร์เน็ต ภายในวันที่ 9 ก.ย. 68
การยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 มีจุดมุ่งหมายหลักคือ การ เก็บภาษีล่วงหน้า โดยให้ผู้ประกอบการคาดการณ์กำไรสุทธิและนำมาคำนวณภาษีที่คาดว่าจะต้องจ่ายในรอบบัญชีนั้น เพื่อไม่ให้การจัดเก็บภาษีของรัฐเกิดความล่าช้า
ใครบ้างที่ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.51
1. นิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทย เช่น บริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างหุ้นส่วนสามัญที่จดทะเบียน
2. กิจการที่มีรอบบัญชีครอบคลุมช่วงครึ่งปี (เช่น มกราคม – มิถุนายน)
3. ไม่เว้นแม้กิจการที่ไม่มีรายได้ หรือยังขาดทุนก็ยังต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 โดยประมาณการว่าไม่มีรายได้หรือขาดทุนเช่นเดิม
อย่างไรก็ตาม กิจการที่เพิ่งจดทะเบียนใหม่ ซึ่งยังไม่เคยมีรอบบัญชีสิ้นสุดก่อน 6 เดือนนับจากวันเริ่มรอบบัญชี อาจได้รับการยกเว้นการยื่น ภ.ง.ด.51 ในปีแรก
วิธีการคำนวณภาษีครึ่งปี
ผู้ประกอบการต้องคาดการณ์ “กำไรสุทธิ” สำหรับทั้งปี และนำมาคำนวณหากำไรครึ่งปีเพื่อใช้ในการคำนวณภาษีตามอัตราที่กฎหมายกำหนด โดยทั่วไปใช้หลักการดังนี้
1. ประมาณการรายได้และค่าใช้จ่ายทั้งปี
2. คำนวณกำไรสุทธิทั้งปี (รายได้ - ค่าใช้จ่าย)
3. หารครึ่งเพื่อให้เป็นกำไรสุทธิครึ่งปี
4. นำไปคูณอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล (ปกติ 20%)
5. ยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 และชำระภาษีตามที่คำนวณได้
หมายเหตุ: หากบริษัทเป็น SMEs (ทุนชำระแล้วไม่เกิน 5 ล้านบาท และรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาท) อาจมีสิทธิเสียภาษีในอัตราพิเศษ
ผลกระทบหากยื่นไม่ถูกต้องหรือไม่ยื่นเลย
เจ้าของธุรกิจหลายคนอาจคิดว่าแค่ “ประมาณการ” ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรนัก แต่ความจริงแล้วกรมสรรพากรมีบทลงโทษอย่างชัดเจนต่อกรณีที่ยื่นไม่ถูกต้อง ดังนี้
- หากไม่ยื่นภายในระยะเวลาที่กำหนด ต้องเสีย ค่าปรับ 2,000 บาท และเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ต้องชำระ
- หากยื่นประมาณการต่ำกว่าความเป็นจริงเกิน 25% โดยไม่มีเหตุอันสมควร จะถูก เรียกเก็บเงินเพิ่มอีก 20% ของส่วนต่างที่ต่ำกว่าความเป็นจริง
ดังนั้นการวางแผนและจัดทำประมาณการให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ควรมองว่าเป็นเพียงแค่เอกสารพิธีการเท่านั้น
ข้อควรระวังและคำแนะนำในการยื่น ภ.ง.ด.51
1. ตรวจสอบรอบบัญชีของกิจการให้แน่ชัด เพื่อไม่ให้พลาดเวลากำหนดยื่นแบบ
2. จัดทำประมาณการอย่างมีหลักฐานรองรับ เช่น ยอดขายที่เกิดขึ้นจริงในครึ่งปีแรก แนวโน้มคำสั่งซื้อในครึ่งปีหลัง เป็นต้น
3. ใช้ผู้สอบบัญชีหรือนักบัญชีที่มีประสบการณ์ ในการช่วยวางแผนและตรวจสอบความถูกต้อง
4. อย่ามองข้ามแม้จะยังขาดทุน เพราะการไม่ยื่นอาจถูกมองว่า “เพิกเฉยต่อหน้าที่ตามกฎหมาย” และยังมีผลในทางบัญชีด้วย
5. ใช้บริการยื่นแบบออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร เพื่อความสะดวกและลดโอกาสผิดพลาด
สรุป
แบบ ภ.ง.ด.51 ไม่ใช่แค่แบบฟอร์มที่ต้องยื่นตามระเบียบของสรรพากรเท่านั้น แต่เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยผู้ประกอบการในการวางแผนทางการเงิน และแสดงถึงความรับผิดชอบต่อภาษีที่ตนเองมีหน้าที่ต้องจ่าย หากประมาณการถูกต้อง ยื่นตรงเวลา ก็จะช่วยให้กิจการลดความเสี่ยงจากค่าปรับ และยังสะท้อนถึงความโปร่งใสของกิจการที่อาจมีผลต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของบริษัทในสายตาผู้ลงทุนหรือพันธมิตรทางธุรกิจ
ในฐานะเจ้าของกิจการ ควรให้ความสำคัญกับการยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่เพื่อหลีกเลี่ยงเบี้ยปรับหรือค่าปรับเท่านั้น แต่เพื่อเสริมสร้างรากฐานทางการเงินและภาษีของธุรกิจให้แข็งแรงและเติบโตได้อย่างยั่งยืน
อ่านบทความน่ารู้เกี่ยวกับภาษี เพิ่มเติม คลิกที่นี่
Source : Inflow Accounting







