ค่าเงินบาทกับเศรษฐกิจโค้งสุดท้ายปี 68

สัปดาห์ที่แล้วมีสื่อขอสัมภาษณ์ผม เกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจไตรมาส 4 คือ สามเดือนข้างหน้าว่าจะไปได้ตามเป้าที่ทางการประเมินไว้หรือไม่
และเงินบาทที่แข็งค่าจะเป็นข้อจำกัดต่อเศรษฐกิจช่วงไตรมาสสุดท้ายหรือไม่ เป็นคําถามที่ดี วันนี้จึงขอแชร์ความเห็นที่ผมให้ไปให้แฟนคอลัมน์ “เศรษฐศาสตร์บัณฑิต” ทราบ นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้
ปีนี้ตั้งแต่ต้นปี นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าเศรษฐกิจไทยมีข้อจํากัดทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก โดยเฉพาะหลังประธานาธิบดีทรัมป์เข้ารับตําแหน่งที่ชัดเจนว่าสหรัฐจะขึ้นภาษีนําเข้ากับทุกประเทศ ทำให้เศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาเศรษฐกิจโลกทั้งการส่งออกและการท่องเที่ยวจะถูกกระทบมาก
ประมาณการเศรษฐกิจปีนี้จึงออกมาตํ่ากว่าปีที่แล้วที่ขยายตัว 2.5% โดยสภาพัฒน์ให้เศรษฐกิจปีนี้ขยายตัว 1.8-2.3% ธนาคารเเห่งประเทศไทยให้ขยายตัว 2.3% กระทรวงการคลังให้ 2.2% และธนาคารโลกให้ขยายตัว 1.8% ทั้งหมดเป็นอัตราการขยายตัวที่ต่ำและอาจตํ่าสุดในภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยช่วง 6 เดือนแรกดีเกินคาด ขยายตัวอัตราเฉลี่ย 3.0% โดยได้ประโยชน์จากการเร่งส่งสินค้าออกไปตลาดสหรัฐก่อนที่อัตราภาษีนําเข้าใหม่จะประกาศใช้ ทำให้การส่งออกรวมช่วงครึ่งปีแรกขยายตัวถึง 15% ในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ
แต่การแข็งค่าของเงินบาททำให้รายได้ในรูปเงินบาทขยายตัว 7.6% ส่วนปัจจัยอื่นที่เหลือ เช่น การท่องเที่ยว การบริโภคในประเทศชะลอ ยกเว้นการลงทุนที่มีการขยายตัว
สําหรับครึ่งปีหลัง นักวิเคราะห์มองว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอจากผลของภาษีทรัมป์ ความไม่แน่นอนของนโยบายในสหรัฐ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ
ซึ่งประเด็นหลังก็ชัดมากขึ้นหลังการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ที่ยอมรับว่าห่วงการชะลอตัวของเศรษฐกิจมากกว่าเงินเฟ้อ เศรษฐกิจโลกที่ชะลอจะกระทบการส่งออกและการท่องเที่ยวของเรา
ข้อมูลเศรษฐกิจครึ่งปีหลังตอนนี้มีแค่เดือนกรกฎาคม ซึ่งชี้ว่าเศรษฐกิจกําลังชะลอ การส่งออกเดือนกรกฎาคมขยายตัวเหลือ 9.7% การนําเข้าขยายตัว 4.5% การบริโภคเอกชนขยายตัวติดลบ จํานวนนักท่องเที่ยวถึงเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 21-22 ล้านคน ห่างจากเป้าทั้งปี 40 ล้านคนมาก
อัตราเงินเฟ้อเดือนสิงหาคมติดลบ 0.7% ติดลบเป็นเดือนที่ห้า แสดงถึงกําลังซื้อในประเทศที่อ่อนแอ ที่ดีคือการลงทุนภาคเอกชนที่ขยายตัว และสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ที่กลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในปีนี้
ทั้งหมดจึงชัดเจนว่าเศรษฐกิจกําลังชะลอ และถ้าจะให้เศรษฐกิจปีนี้ขยายตัว 2.3% ตามที่ประเมินกัน เศรษฐกิจครึ่งปีหลังจะต้องขยายตัวมากกว่า 1.5% คําถามคือ จะทำได้หรือไม่ คําตอบผมคือ ท้าทาย และขึ้นอยู่ว่ารัฐบาลจะทำอะไรช่วงสามเดือนข้างหน้า
ถ้าทำได้ถูกต้อง ทำได้ดี ความหวังก็มี เพราะมีหลายปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ขณะนี้เริ่มขยับตัว ซึ่งถ้าเสริมปัจจัยเหล่านี้ได้ถูกต้อง ก็สามารถสร้างให้เกิดแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่มีพลังได้
ตัวอย่างเช่น การบริโภคเอกชน ตัวเลขล่าสุดติดลบ แต่ตัวเลขหนี้ครัวเรือนก็ลดลงเช่นกัน ทำให้ครัวเรือนที่มีรายได้และภาระหนี้ลดลงมีพื้นที่ที่จะใช้จ่าย รัฐบาลจึงควรเร่งรัดการปรับโครงสร้างหนี้ให้เกิดขึ้นกว้างขวาง ทำให้มาก ทำจริงจัง เพื่อลดภาระชําระหนี้ปัจจุบันของครัวเรือน
ซึ่งจะทำให้ครัวเรือนมีพื้นที่ที่จะใช้จ่าย ขณะเดียวกันธนาคารพาณิชย์ก็จะมีพื้นที่ที่จะขยายสินเชื่อได้มากขึ้นหลังปรับโครงสร้างหนี้เพราะสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ลดลง
นอกจากนี้ โครงการคนละครึ่งอย่างที่เป็นข่าวก็จะช่วยกระตุ้นการบริโภค แต่ควรขยายโดยทำโครงการคนละครึ่งในด้านการจ้างงานพร้อมกันไปด้วยกับภาคเอกชน เพื่อให้คนที่ตกงานมีงานทำ สามารถมีรายได้ที่จะใช้จ่าย เกิดเป็นพลังกําลังสองที่จะกระตุ้นการบริโภค
การลงทุนเอกชนปีนี้ขยายตัว เป็นแนวโน้มที่ดีมาก ล่าสุดสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์กลับมาขยายตัว แบงก์ชาติลดอัตราดอกเบี้ย และเงินบาทที่แข็งค่าก็ทำให้สินค้าทุนนําเข้าราคาถูกลง ทั้งหมดเอื้อต่อการลงทุน รัฐบาลจึงควรใช้โอกาสนี้เร่งให้เอกชนลงทุน โดยสร้างบรรยากาศการแข่งขันให้เกิดขึ้น ลดข้อจํากัดที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน
เช่น กฎระเบียบต่างๆ และใช้เครดิตภาษีจูงใจให้บริษัทเอกชนยกระดับการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีที่สูงขึ้นและพัฒนาแรงงาน ทำแบบ happy hours คือ ให้เครดิตภาษีมากในเวลาที่จำกัดเพื่อเป็นแรงจูงใจ สําหรับการใช้จ่ายภาครัฐ สิ่งที่ควรทำคือ เร่งรัดการเบิกจ่ายตามงบประมาณปี 2569 ให้เกิดขึ้นเร็วเพื่อให้เม็ดเงินลงเศรษฐกิจ
ที่ท้าทายคือ การส่งออกและการท่องเที่ยว เพราะนอกจากผลทางลบที่มาจากเศรษฐกิจโลก เงินบาทที่เเข็งค่าก็เป็นข้อจํากัดต่อผู้ส่งออกและภาคบริการที่มีรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศ ทำให้ธุรกิจต้องปรับตัวมาก
อย่างที่ทราบการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ เป็นต้นเหตุหลักของการแข็งค่าของเงินบาทและสกุลเงินภูมิภาค มากบ้างน้อยบ้างขึ้นอยู่กับปัจจัยของแต่ละประเทศ ถึงวันนี้ตั้งแต่ต้นปี เงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า 7% น้อยกว่าไต้หวันดอลลาร์ ใกล้เคียงกับเยนญี่ปุ่นและริงกิตมาเลเซีย แต่มากกว่าสิงคโปร์ดอลลาร์และวอนเกาหลีใต้
การแข็งค่าของเงินบาทน่าจะเป็นภาวะชั่วคราว เพราะโยงกับการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก เห็นได้ว่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าเมื่อดอลลาร์สหรัฐปรับตัวดีขึ้นหลังธนาคารกลางสหรัฐลดอัตราดอกเบี้ย ตลาดการเงินคาดว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐระดับนี้น่าจะยืนระยะได้
อย่างไรก็ตามที่ต้องระวังคือ ความผันผวน ปีนี้เงินบาทผันผวนเป็นอันดับสามรองจากเงินเยนและเงินวอน เรื่องนี้ทางการคงให้ความสำคัญ เพื่อให้ความผันผวนของเงินบาทอยู่ในระดับที่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการปรับตัวของธุรกิจ
เห็นได้ว่าไตรมาสสุดท้ายเป็นทั้งความท้าทายและโอกาส ขึ้นอยู่กับการทำนโยบายของรัฐบาล ก็หวังว่ารัฐบาลจะทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง เพื่อให้เศรษฐกิจผ่านโค้งสุดท้ายไปได้อย่างเกินคาดหมาย แสดงให้เห็นว่าทั้งเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศได้เปลี่ยนไปแล้ว







