ปรับเข็มทิศการลงทุนไทยบนเวทีโลก…จาก COVID-19 สู่สมรภูมิเศรษฐกิจครั้งใหม่

เข็มทิศการลงทุนในอนาคตมีแนวโน้มมุ่งสู่สหรัฐฯ มากขึ้นจากนโยบายดึงดูดการลงทุน และเริ่มเบนความสนใจไปยังตลาดใหม่อย่างอินเดียซึ่งมีศักยภาพเติบโตสูง ในขณะที่การลงทุนในกลุ่ม CLMV อาจชะลอตัวลง กลยุทธ์การลงทุนต้องปรับเปลี่ยนจากการพิจารณาแค่ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ ไปสู่การให้ความสำคัญกับปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ และมีแนวโน้มหันไปใช้การควบรวมกิจการ (M&A) มากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยง
KEY
POINTS
- การลงทุนไทยในต่างประเทศ (TDI) ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งหลังยุค COVID-19 โดยปี 2567 เติบโตสูงสุดถึง 15.9% ซึ่งเป็นสัญญาณของการปรับตัวเชิงกลยุทธ์เพื่อเข้าสู่สมรภูมิเศรษฐกิจโลกครั้งใหม่ที่ผันผวน
- ทิศทางการลงทุนมีการเปลี่ยนแปลงหลังวิกฤต โดยสัดส่วนการลงทุนในอาเซียน (โดยเฉพาะเวียดนาม) เพิ่มขึ้น ขณะที่การลงทุนในกลุ่ม G3 ลดลงเล็กน้อย สะท้อนการปรับสมดุลสู่ตลาดในภูมิภาค
- เข็มทิศการลงทุนในอนาคตมีแนวโน้มมุ่งสู่สหรัฐฯ มากขึ้นจากนโยบายดึงดูดการลงทุน และเริ่มเบนความสนใจไปยังตลาดใหม่อย่างอินเดียซึ่งมีศักยภาพเติบโตสูง ในขณะที่การลงทุนในกลุ่ม CLMV อาจชะลอตัวลง
- กลยุทธ์การลงทุนต้องปรับเปลี่ยนจากการพิจารณาแค่ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ ไปสู่การให้ความสำคัญกับปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ และมีแนวโน้มหันไปใช้การควบรวมกิจการ (M&A) มากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยง
การลงทุนไทยในต่างประเทศ หรือ Thai Direct Investment (TDI) ไม่เพียงเป็นกลไกในการขยายกิจการ แต่ยังสะท้อนการปรับตัวเชิงยุทธศาสตร์เพื่อเสริมความมั่นคง ลดข้อจำกัดในประเทศ และเปิดทางสู่การถ่ายทอดเทคโนโลยีใหม่ ตลอดหลายปี TDI เติบโตต่อเนื่อง ก่อนชะลอจากวิกฤต COVID-19 กระนั้น ปัจจุบันการลงทุนไทยในต่างประเทศได้ฟื้นตัวอีกครั้ง พร้อมเข้าสู่จังหวะที่ต้อง “ปรับเข็มทิศ” เพื่อรับมือกับเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนจากสงครามการค้า ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ตลอดจนการพลิกขั้วอำนาจเศรษฐกิจโลก
ปี 2567 มูลค่าเม็ดเงินลงทุนไทยในต่างประเทศ (TDI Outflow) อยู่ที่ 66,415 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นถึง 15.9% เป็นอัตราขยายตัวสูงสุดนับจาก COVID-19 หากวิเคราะห์ข้อมูลรายไตรมาส ตั้งแต่ ไตรมาส 1 ปี 2566 ถึงไตรมาส 1 ปี 2568 เม็ดเงินลงทุนสูงกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 4 ปีหลังวิกฤต COVID-19 อย่างชัดเจน แม้อาจยังไม่เท่ากับช่วงก่อน COVID-19 ที่เคยแตะระดับกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อไตรมาส แต่นับว่าเป็นการส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างชัดเจน รวมถึงสะท้อนว่า ธุรกิจไทยกำลังมองหาช่องทางใหม่เพื่อสร้างการเติบโตระยะยาว ทั้งนี้ หากพิจารณาในเชิงพื้นที่ ตลอดทศวรรษที่ผ่านมาการลงทุนไทยอยู่ใน 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มเศรษฐกิจหลัก G3 (สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น) และกลุ่มอาเซียน คิดเป็นราว 60% ของ TDI Outflow (ปี 2558-2567) สิ่งนี้สะท้อนถึงแนวทางการลงทุนที่สมดุลระหว่างการเข้าถึงตลาดที่พัฒนาแล้วกับการต่อยอดโอกาสในภูมิภาคที่มีความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม ธุรกิจหลักที่ไทยเลือกลงทุนมักเป็นสาขาที่มีความเชี่ยวชาญ เช่น อาหาร เกษตรแปรรูป และเคมีภัณฑ์ เพื่อขยายตลาดให้กว้างขึ้น อีกด้านหนึ่งเป็นการเข้าไปลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยเฉพาะอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเข้าถึงเทคโนโลยีและเสริมขีดความสามารถด้านนวัตกรรม สำหรับช่วงหลังวิกฤต COVID-19 สัดส่วนการลงทุนในอาเซียนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 27.1% (ปี 2559-2562) เป็น 28% (ปี 2564-2567) โดยเวียดนามกลายเป็นจุดหมายสำคัญ ทั้งในสาขาการเงิน เคมีภัณฑ์ และอาหาร สอดคล้องความร้อนแรงทางเศรษฐกิจของเวียดนาม ในส่วนของการลงทุนในกลุ่ม G3 ลดลงจาก 33.7% เหลือ 31.2% มาจากการลงทุนในญี่ปุ่นที่ชะลอลง ขณะที่สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ยังคงเป็นแหล่งลงทุนสำคัญ โดยเฉพาะการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ที่ประสบปัญหาด้านการเงิน
แนวโน้มการลงทุนไทยในระยะถัดไปคาดว่า สหรัฐฯ จะเป็นแหล่งลงทุนที่สำคัญมากขึ้น จากนโยบายดึงดูดการลงทุนเชิงรุกของสหรัฐฯ ร่วมกับความพยายามสร้างสมดุลทางการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ ภายใต้ผลพวงข้อเจรจาที่สืบเนื่องมาจาก Reciprocal Tariffs โดยเริ่มเห็นสัญญาณการเบนเข็มการลงทุนไปสหรัฐฯ มากขึ้น ช่วงปี 2565-2567 เติบโตเฉลี่ยถึงปีละ 14.9% (CAGR) โดยเฉพาะในธุรกิจอาหาร เคมีภัณฑ์ อิเล็กทรอนิกส์ และค้าปลีกค้าส่ง ในทางกลับกันการลงทุนในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) อาจชะลอลงจากปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการเมือง แม้ภูมิภาคนี้ยังคงเป็นตลาดที่ใกล้ชิดและมีความได้เปรียบด้านแรงงาน แต่ความเสี่ยงเชิงโครงสร้างทำให้นักลงทุนอาจต้องชั่งน้ำหนักอย่างระมัดระวัง ในส่วนของประเทศเศรษฐกิจใหม่อย่างอินเดีย เริ่มดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนไทยมากขึ้น ด้วยศักยภาพจากขนาดตลาดและการเติบโตทางเศรษฐกิจ อินเดียถูกมองว่า มีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นขั้วอำนาจใหม่ของเศรษฐกิจโลก ธุรกิจไทยเริ่มขยายการลงทุนไปในสาขาที่สอดรับกับพลวัตเศรษฐกิจที่เติบโตของอินเดีย เช่น ค้าปลีกค้าส่ง ก่อสร้าง และการเงิน แม้อาจยังมีความท้าทายและข้อจำกัดในทางปฏิบัติสำหรับนักลงทุนจากต่างประเทศอยู่บ้าง แต่หากจับจังหวะได้ถูกต้อง การลงทุนในอินเดียก็อาจกลายเป็นโอกาสทองที่เสริมความมั่งคั่งให้ธุรกิจไทยได้เช่นกัน
กลยุทธ์ของธุรกิจไทยในการเลือกพื้นที่ลงทุนในระยะถัดไปไม่อาจพิจารณาเฉพาะผลตอบแทนทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ควรให้ความสำคัญกับภูมิรัฐศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงสมดุลอำนาจใหม่ของโลก ซึ่งมีผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ นอกจากนี้ การลงทุนในรูปแบบ Greenfield หรือเข้าไปเริ่มตั้งกิจการตั้งแต่ขั้นแรกอาจชะลอลง ภายใต้ข้อจำกัดที่เพิ่มขึ้น เช่น ต้นทุนที่สูงขึ้น กฎระเบียบที่เข้มงวด สิ่งเหล่านี้ทำให้ M&A อาจเป็นกลยุทธ์ที่ธุรกิจไทยอาจเลือกใช้มากขึ้น เพราะลดความเสี่ยงและต่อยอดธุรกิจได้ทันที
การลงทุนไทยในต่างประเทศกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่ไม่ได้เป็นเพียงการขยายธุรกิจในต่างแดน แต่คือ การปรับตัวเชิงกลยุทธ์เพื่อรับมือกับโลกที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดนิ่ง ขณะเดียวกันก็เป็นการเดินเกมธุรกิจในระดับโลกที่ต้องอาศัยทั้งวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ที่เฉียบคม นักลงทุนไทยจำเป็นต้องมองปัจจัยให้รอบด้าน ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยี เพื่อให้การลงทุนในต่างประเทศไม่เพียงสร้างความมั่นคงทางธุรกิจ แต่ยังเป็นกลไกเสริมความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทยในภาพรวม และนำพาเศรษฐกิจไทยไปสู่จุดที่แข็งแกร่งและมั่งคั่งกว่าเดิม
Disclaimer : ข้อมูลต่าง ๆ ที่ปรากฏเป็นข้อมูลที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลแก่ผู้ที่สนใจเท่านั้น โดย EXIM BANK จะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการที่มีบุคคลนำข้อมูลนี้ไปใช้ไม่ว่าโดยทางใด







