‘ทองคำ’จ่อทำออลไทม์ไฮต่อ ‘สมาคมค้าทอง’ ชี้ราคาเป็น ‘ขาขึ้น’

“ทองคำไทย” ยังเดินหน้าทำจุด “ออลไทม์ไฮ” ไม่หยุด “ทองแท่ง” แตะ 55,600 บาท “สมาคมค้าทองคำ” ชี้ยังเป็น “ขาขึ้น” ภายใต้ “ดอลลาร์อ่อน” วายเอลจี มองรับ “บาทอ่อน-ทองโลกพุ่ง”
KEY
POINTS
- ราคาทองคำในประเทศพุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ที่ 55,600 บาท โดยได้รับแรงหนุนจากราคาทองคำในตลาดโลกและเงินบาทที่อ่อนค่า
- ปัจจัยหลักที่ผลักดันราคาคือการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ และแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก
- สมาคมค้าทองคำคาดการณ์ว่าทิศทางราคาทองคำยังคงเป็น "ขาขึ้น" ต่อเนื่อง โดยมีโอกาสแตะระดับ 57,000 บาทภายในสิ้นปี 2568
วานนี้ (22 ก.ย.) ราคา “ทองคำ” พุ่งแตะนิวไฮใหม่ สะท้อนตลาดทองคำในประเทศเปิดตลาดด้วยราคาทองคำแท่งระดับ 55,550 บาท และทองรูปพรรณที่ 56,200 บาท และทำระดับสูงสุดเป็น “ประวัติการณ์ครั้งใหม่”ที่ 55,600 บาท สะท้อนแรงซื้อที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับ ปัจจัยเบื้องหลังการพุ่งขึ้นของราคาทองคำจาก “เฟดลดดอกเบี้ย-ดอลลาร์แข็งค่า-เงินบาทอ่อนค่า” โดยธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% และส่งสัญญาณลดอีก 2 ครั้งภายในปีนี้ ส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น
ขณะที่เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง ทำให้ราคาทองคำในประเทศยังปรับตัวสูงขึ้น และยังเกิด “ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์” จากความเสี่ยงจาก การชัตดาวน์รัฐบาลสหรัฐ, ข้อพิพาทระหว่าง EU และรัสเซียเรื่องการใช้ทรัพย์สินค้ำประกันเงินกู้ช่วยยูเครน และความตึงเครียดทางการค้าจากนโยบายภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ ทั้งหมดนี้กระตุ้นให้นักลงทุนหันมาถือครองทองคำในฐานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย”
อีกทั้งยังมี “แรงซื้อจากจีนและตลาดโลก” หลังจากจีนผ่อนคลายข้อจำกัดการนำเข้าทองคำ ทำให้ความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ราคาทองคำโลกแตะระดับ3,705.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ใกล้จุดสูงสุดเดิม
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า สำหรับทิศทางราคาทองคำจากนี้ถึงปลายปี 2568 ตลาดทองคำยังเป็น “ขาขึ้น” โดยมีโอกาสแตะระดับ 57,000 บาท หากเงินบาทยังแข็งและดอลลาร์ยังอ่อน
นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานบริหาร กลุ่มบริษัท วายแอลจี กรุ๊ป จำกัด (YLG GROUP) ให้มุมมองว่า ปัจจัยแรกคือ “ราคาทองคำในตลาดโลก” ขึ้นมาเคลื่อนไหวไม่ไกลจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้ดัชนีดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นก็ตาม ได้แก่ ความกังวลเกี่ยวกับการชัตดาวน์ของรัฐบาลกลางสหรัฐ หลังจากในวันศุกร์วุฒิสภาได้ปฏิเสธร่างงบประมาณระยะสั้นที่สภาผู้แทนราษฎรเพิ่งอนุมัติ ซึ่ง กำหนดเวลาสิ้นสุดการต่ออายุงบประมาณชั่วคราวของรัฐบาลกลางใกล้จะถึงในเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 30 ก.ย. นี้ ซึ่งความเสี่ยงในการปิดหน่วยงานรัฐบาลจึงเพิ่มสูงขึ้นจนกระตุ้นแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
ขณะเดียวกัน “SPDR ถือครองทองคำเพิ่ม” +18.9 ตันในวันศุกร์ที่ผ่านมา สู่ระดับ 994.56 ตัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ส.ค. 2565 และเป็นการเพิ่มการถือครองทองคำในวันเดียวของ SPDR ที่มากที่สุดนับตั้งแต่มี.ค.ปี 2568 สถานการณ์ดังกล่าว บ่งชี้แรงซื้อทองคำของนักลงทุนรายใหญ่และบรรดากองทุน
อีกทั้ง ยังมี “ความต้องการทองคำในอินเดียที่แข็งแกร่ง” ดัน Premium ในอินเดียให้แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่กลางเดือนพ.ย. 2567 ก่อนหน้าเทศกาลเทศกาลดิวาลี (Diwali Festival) และเทศกาลดุชเชห์ร่า (Dussehra Festival) ซึ่งเป็นช่วงที่การซื้อทองคำถือเป็นสิริมงคล สะท้อนแรงซื้อที่แข็งแกร่งจากอินเดียซึ่งเป็นผู้ริโภคทองคำเป็นอันสองของโลก ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนทองคำเช่นกัน
ส่วนปัจจัยที่สอง “ดัชนีดอลลาร์แข็งค่าขึ้น” จากระดับต่ำสุดที่ 95.804 ที่ลงไปทดสอบในเวลา 01.00 น.ของวันพฤหัสฯ หลังการเปิดเผยผลการประชุมเฟดสู่ระดับ 97.36 ในวันที่ 22 ก.ย. ในช่วงเช้าของตลาดเอเชีย ซึ่งถือเป็นการแข็งค่าขึ้นราว 1.6%
ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าจาก 31.60 บาทต่อดอลลาร์ ที่ลงไปทดสอบในเวลา 01.00 น.ของวันพฤหัสหลังการเปิดเผยผลการประชุมเฟด สู่ระดับ 31.84 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการอ่อนค่าราว 0.8%
ทางด้าน “วายแอลจี” ระบุว่า “ราคาทองคำในประเทศ” ทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ที่ 55,600 บาท ได้รับแรงหนุน จาก 2 ปัจจัย ทั้งจากการอ่อนค่าของเงินบาท บวกรวมกับการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก”
ทางด้านบทวิเคราะห์จาก InterGold ระบุว่า แม้ราคาทองคำจะเผชิญแรงกดดันจากตลาดหุ้นที่ทำ All-time High แต่ปัจจัยพื้นฐานยังสนับสนุนการขึ้นต่อ โดยเฉพาะหากเกิด Breakout เหนือ 3,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้
สำหรับ กลยุทธ์การลงทุนทองคำระยะสั้น แนะรอจังหวะเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัว ใกล้แนวรับ 3,660 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ระยะกลาง หากราคายืนเหนือ3,700ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ ให้ Follow Buy เพื่อเล่นตามเทรนด์ขาขึ้น แต่ยังต้องระวังหากราคาหลุด 3,660 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อาจมีแรงขายต่อ ควรบริหารความเสี่ยงให้ดี






