‘เศรษฐพุฒิ’  ชี้ไทยติดกับดัก ‘โครงสร้าง’  ห่วง ‘เอสเอ็มอีสะดุด-หนี้ครัวเรือนพุ่ง’ 

‘เศรษฐพุฒิ’  ชี้ไทยติดกับดัก ‘โครงสร้าง’  ห่วง ‘เอสเอ็มอีสะดุด-หนี้ครัวเรือนพุ่ง’ 

“เศรษฐพุฒิ” ชี้ โจทย์ใหญ่ของประเทศไทยคือ หนี้สูง ครัวเรือน-เอสเอ็มอีแบกหนี้พุ่ง เอสเอ็มอีหนี้เสียสูง หากเทียบรายใหญ่ แถมโครงสร้างเศรษฐกิจเหลื่อมล้ำสูง

‘เศรษฐพุฒิ’  ชี้ไทยติดกับดัก ‘โครงสร้าง’  ห่วง ‘เอสเอ็มอีสะดุด-หนี้ครัวเรือนพุ่ง’ 

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้สัมภาษณ์ในรอบ Meet the Press ครั้งสุดท้ายในตำแหน่งผู้ว่าฯแบงก์ชาติ ก่อนครบวาระ 5 ปี มีหลากหลายประเด็นที่หยิบยกให้เห็นถึง “ปัญหา” และ “โจทย์ใหญ่” ของเศรษฐกิจไทย

โดยเฉพาะเรื่อง “หนี้” โดยชี้ให้เห็นว่า หนี้ครัวเรือน 2-3 ล้านครัวเรือน มีรายจ่ายมากกว่ารายได้ โดยเอสเอ็มอี NPL สูงถึง 7.6% เทียบกับธุรกิจใหญ่แค่ 3% ดังนั้นทางออกในการแก้ปัญหา “หนี้” แก้ปัญหาการเข้า “สินเชื่อ” ได้ ต้องแก้ และสร้างกลไกที่เรียกว่า “ค้ำประกัน”

ควบคู่กับการพัฒนาข้อมูลเครดิต และใช้ Risk-based Pricing การปล่อยกู้ตามความเสี่ยงผู้กู้ เพื่อดึงลูกหนี้นอกระบบกลับมาสู่ระบบการเงินอีกครั้ง 

ไม่เพียงเท่านั้นภาครัฐต้องมีบทบาทสำคัญ “อย่าถ่วง” แต่ต้องหนุนภาคเอกชนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้จริง ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างพื้นที่ และระหว่างทุนใหญ่กับรายเล็ก

เศรษฐพุฒิ  ฉายภาพโจทย์ใหญ่ของเศรษฐกิจไทยเวลานี้ มีหลายมิติ โดยเฉพาะในมิติของ “หนี้” โดยเน้นย้ำว่า ปัญหาหนี้เป็นปัญหาเรื้อรังที่สะสมมานาน ไม่ใช่โรคเฉียบพลัน และปัญหาหนี้ครัวเรือนในปัจจุบันส่วนหนึ่งเกิดจากการตัดสินใจเชิงนโยบายในอดีต รวมถึงการคงอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำเกินไปเป็นเวลานาน ก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หนี้เพิ่มสูงขึ้น การทำเช่นนี้ก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์สร้างความเปราะบาง และความเสี่ยงที่อาจไม่ปรากฏในทันที แต่จะไปเกิดผลในอนาคต

หากดูในมิติ หนี้ครัวเรือน หนี้ธุรกิจ ภาคธุรกิจก็เห็นเหมือนกันว่า ธุรกิจขนาดใหญ่ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 5% ของประเทศมีรายได้มากกว่าครึ่งของระบบเศรษฐกิจทั้งหมด ตรงนี้ทำให้เห็นว่า “เอสเอ็มอี” บ้านเราเจอปัญหาจริงๆ

โดยพบว่าเอสเอ็มอีหลายแห่ง โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ตอนนี้แข่งขันได้ลำบากขึ้นมาก เมื่อเทียบกับทุนใหญ่ จึงเป็นที่มาของความเหลื่อมล้ำระหว่างพื้นที่ เห็นได้ชัดจากการที่กลุ่มที่อยู่ในกรุงเทพฯ กับภาคกลางเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ภาคอีสานหรือภาคใต้ยังคงเผชิญ “ข้อจำกัด” ค่อนข้างมาก เหล่านี้ถือเป็นตัวอย่างที่สะท้อนปัญหาที่เราเจอทุกวันนี้มันไม่ได้มีแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่เกี่ยวโยงกันหมด ปัญหาทั้งหมดมาจาก “ปัญหาเชิงโครงสร้าง”

“ถามว่าจะแก้เรื่องโครงสร้างได้อย่างไร ผมไม่อยากพูดเยอะวันนี้ เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่มาก และแก้ยาก แต่สิ่งสำคัญคือ เราต้องพยายามทำให้ภาคเอกชนเป็นกลไกหลัก ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภาครัฐเองต้องทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุน ไม่ใช่ตัวถ่วง รัฐต้องดูแลทั้งธุรกิจรายใหญ่ และในขณะเดียวกันต้องสนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอี และรายย่อย ลดอุปสรรคในการทำธุรกิจให้มากที่สุด ที่สำคัญคือ ต้องไม่สร้างปัญหาเพิ่มให้เอกชนอีก”

ดังนั้น หากดูถึงภาพ “หนี้ครัวเรือน” เป็นสิ่งที่น่าห่วงมากขึ้น หนี้ครัวเรือน เป็นโจทย์ใหญ่ และเรื้อรัง ตัวเลขสะท้อนว่า “ครัวเรือนไทย” ประมาณ 2-3 ล้านครัวเรือน มีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ หมายความว่าต่อให้ล้างหนี้เดิมหมด แต่ถ้ารายได้ไม่พอ รายจ่ายยังมากกว่า หนี้ก็จะกลับมาใหม่อยู่ดี

วิธีแก้หนี้จริงๆ มีทางเดียวคือ ทำให้รายได้เติบโต ซึ่งก็จะโยงไปสู่โจทย์ใหญ่ของเศรษฐกิจไทยว่าต้องหาทางให้การเติบโตกลับมา 

ไม่เพียงเท่านั้น พอมองไปที่ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะเอสเอ็มอี ก็จะเห็นว่าการเข้าถึงสินเชื่อยัง “ยากมาก” ปัญหาหลักคือ “ความเสี่ยง” โดยเฉพาะความเสี่ยงที่มาจาก “หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้” หรือ “เอ็นพีแอล” ของเอสเอ็มอีปัจจุบันที่อยู่ระดับสูงถึง 7.6% ในขณะที่ของธุรกิจใหญ่มีแค่ประมาณ 3% เท่านั้น

ดังนั้น ความเสี่ยงตรงนี้ทำให้สถาบันการเงินลังเล ไม่อยากปล่อยกู้เอสเอ็มอีเพราะกลัว “หนี้เสีย” เหล่านี้ จึงกลายเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง หากเราไม่มีมาตรการมาช่วยลดความเสี่ยงทางเครดิต

เช่น ระบบค้ำประกันสินเชื่อ กลไกต่างๆ ของรัฐ หรือการพัฒนาข้อมูลเครดิตที่ดีขึ้น ก็ยากมากที่เอสเอ็มอีจะสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น หากดูถึงกลไกค้ำประกัน และข้อมูลเครดิต ปัจจุบันมีกลไกอย่าง บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ซึ่งช่วยค้ำประกันสินเชื่อเอสเอ็มอี แต่ก็ยังมีข้อจำกัด และถูกบ่นอยู่มาก บางครั้งธนาคารไม่อยากปล่อยกู้เอง แต่ก็ผลักภาระให้ บสย.ค้ำแทน แต่หากยิ่งไม่มีกลไกค้ำประกันเลยการปล่อยกู้เอสเอ็มอีจะยิ่งยาก

อีกจุดที่สำคัญคือ “ข้อมูล”(data) ซึ่งวันนี้ข้อมูลยังแยกส่วนกันอยู่ จึงอยากให้ข้อมูลของลูกหนี้สามารถโอนย้าย สามารถใช้ประเมินข้ามระบบได้จริง เพื่อให้ธนาคารหรือผู้ให้กู้มีฐานข้อมูลเพียงพอที่จะวิเคราะห์ความเสี่ยง โครงการที่เดินหน้าอยู่อย่าง National Digital ID หรือระบบ data sharing ถือเป็นหัวใจสำคัญ ต้องทำต่อเนื่อง เพราะมันจะช่วยทั้งการเพิ่มการแข่งขัน และการเข้าถึงสินเชื่อ

นอกจากนี้มองว่า กลไกที่จะช่วยเอสเอ็มอีได้มากขึ้น คือ Risk-based Pricing หรือ การกำหนดราคาตามความเสี่ยงของผู้กู้ ถ้าความเสี่ยงสูงก็กำหนดดอกเบี้ยสูงขึ้น แต่ยังอยู่ในระบบที่เป็นธรรม แม้แน่นอนว่า ครัวเรือนหรือเอสเอ็มอีเอง อาจเผชิญความเสี่ยงสูงที่ดอกเบี้ยจะแพงกว่ากลุ่มอื่นๆ หรือคนทั่วไป แต่ แต่ก็ยังถูกกว่าการไปกู้นอกระบบมาก วิธีนี้จะช่วยดึงคนจากนอกระบบกลับเข้ามาในระบบการเงินปกติ

ดร.เศรษฐพุฒิ ระบุว่า หลายครั้งที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประชุมคนจะถามกันแค่ดอกเบี้ยจะขึ้นหรือลง 0.25% แต่จริงๆ แล้ว ผลกระทบของการขยับเล็กน้อยตรงนั้นไม่ได้เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจมากนัก

สิ่งที่มีผลระยะยาวจริงๆ คือ เรื่องเชิงโครงสร้าง เช่น การค้ำประกันสินเชื่อ การพัฒนาข้อมูลเครดิต การแข่งขันในระบบการเงิน และการกำหนดราคาตามความเสี่ยง 

"ถ้าเราไม่ทำเรื่องเหล่านี้ ต่อให้ดอกเบี้ยปรับขึ้นหรือลง ก็ไม่ช่วยแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนหรือการเข้าถึงสินเชื่อได้จริง” 

ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวว่า ‘ความเหลื่อมล้ำ’ ปัญหาเรื้อรังบั่นทอนเศรษฐกิจไทย

ผู้ว่าการ (ธปท. แสดงความห่วงใย และให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเด็นความเหลื่อมล้ำ (Inequality) โดยมองว่า ปัญหาเชิงโครงสร้างเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางสังคม และการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว

 หนึ่งในนั้นมาจาก “ปัญหาความเหลื่อมล้ำ” ปัญหาเชิงโครงสร้าง และเสถียรภาพสังคม

ความเหลื่อมล้ำ” ถือเป็นประเด็นสำคัญที่บั่นทอนสังคม และนำมาสู่วิกฤติในหลายประเทศ โดยยกตัวอย่างจากเหตุการณ์ประท้วงที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย หรือศรีลังกา ซึ่งไม่ได้เกิดจากสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากความรู้สึกว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจนั้น ไม่ทั่วถึง และไม่สร้างโอกาส

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ คนรุ่นใหม่ ที่จุดเริ่มต้นมาจากความเหลื่อมล้ำ ที่เป็นปัญหาใหญ่ที่ฝังลึกในเศรษฐกิจไทย

ซึ่งความเหลื่อมล้ำนี้ ถือเป็นปัญหาเรื้อรังที่แก้ยาก และท้าทายอย่างมาก และเวลามีการศึกษาเรื่องนี้ในไทย มักจะใช้ข้อมูลด้านรายได้ และการกระจายรายได้มาเปรียบเทียบ เช่น สัดส่วนรายได้ของกลุ่มบนสุด 1% เทียบกับกลุ่มล่างสุด 10% รวมถึงดัชนีการกระจายรายได้ แต่แท้จริงแล้ว ตัวเลขรายได้เพียงอย่างเดียวอาจไม่สะท้อนความเหลื่อมล้ำได้ครบถ้วน

สิ่งที่สำคัญกว่าคือ การพิจารณา ทรัพย์สินสุทธิ เพราะจะสะท้อนความเหลื่อมล้ำได้ชัดกว่ารายได้ เนื่องจากครัวเรือนไทยจำนวนมากมีหนี้สูงจนทำให้ทรัพย์สินสุทธิติดลบ หากเรียงลำดับครัวเรือน 24 ล้านครัวเรือนจากจนที่สุดไปจนถึงรวยที่สุด จะเห็นได้ว่ากลุ่มบนสุด 1% หรือประมาณ 240,000 ครัวเรือน ถือครองทรัพย์สินสุทธิรวมกันมากถึง 13 ล้านล้านบาท ตัวเลขนี้สะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงอย่างยิ่ง

แม้ตัวเลขดังกล่าวดูสูงมาก แต่แท้จริงยังต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะการสำรวจข้อมูลในประเทศมักจับกลุ่ม “รวยจริงๆ” ได้ยาก เนื่องจากผู้มีทรัพย์สินระดับมหาศาลไม่ค่อยเปิดเผยข้อมูล ดังนั้น ความเหลื่อมล้ำในไทยจึงรุนแรงกว่าที่ตัวเลขทางการแสดงไว้

ไม่เพียงแต่ด้านสินทรัพย์ ด้านรายได้แต่ความเหลื่อมล้ำกลายเป็นปัญหาที่กระจายไปสู่หลายภาคส่วนสำคัญของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะสะท้อนผ่านภาคธุรกิจ จากโครงสร้างรายได้ธุรกิจขนาดใหญ่ 5% ของประเทศ มีสัดส่วนรายได้สูงถึง 80% ของรายได้ทั้งหมด

ความแตกต่างนี้เป็นที่มาของปัญหาที่ทำให้ “เอสเอ็มอี” ในบ้านเรามีปัญหาจริงๆ และทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับความยากลำบากในการแข่งขันมากขึ้น  

ดังนั้น ปัญหาความเหลื่อมล้ำเหล่านี้เป็นอาการที่สังคมไทยกำลังเผชิญ และการแก้ไขปัญหาต้องเน้นไปที่การปฏิรูปเชิงโครงสร้างเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น และทั่วถึงอย่างยั่งยืน

“เศรษฐพุฒิ” ปิดท้ายว่า ปัญหาเศรษฐกิจไทย ทั้งหนี้ครัวเรือน ความเหลื่อมล้ำ ปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อของเอสเอ็มอี ล้วนเป็นโจทย์เชิงโครงสร้าง ที่ต้องแก้ด้วยการประสานงานระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการเงินในลักษณะต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่โฟกัสกับมาตรการระยะสั้นเพียงเท่านั้นสิ่งสำคัญคือการสร้างกลไกให้ภาคเอกชนขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้เต็มที่ 

โดยที่รัฐคอยสนับสนุน ไม่ถ่วง และที่สำคัญที่สุด ต้องทำให้เศรษฐกิจโตขึ้น เพื่อให้ครัวเรือน และธุรกิจมีรายได้เพียงพอที่จะจัดการหนี้ และพัฒนาต่อไปได้

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์