วิกฤติ ‘ไทย’ เสี่ยงถูกหั่นเครดิต ปม ศก.โตต่ำ ‘หลุมดำการคลัง’ ฉุดความน่าเชื่อถือ

วิกฤติ ‘ไทย’ เสี่ยงถูกหั่นเครดิต ปม ศก.โตต่ำ ‘หลุมดำการคลัง’ ฉุดความน่าเชื่อถือ

“นักเศรษฐศาสตร์” เตือนสถานะ “การคลังไทย” เข้าสู่จุดเปราะบาง หลัง “มูดี้ส์” หั่นเอาต์ลุกลงสู่ระดับ “เชิงลบ” ขณะที่อีกสองสถาบันจัดอันดับชั้นนำมีแนวโน้มปรับตาม จากปัจจัย “ขาดดุลการคลังเรื้อรัง” นานกว่า 20 ปี ภาระหนี้สาธารณะพุ่งระดับสูง และติดกับดัก “เศรษฐกิจโตต่ำ” ที่ยังไร้ทางออก

KEY

POINTS

  • อมรเทพ ชี้ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่สุดที่จะทำให้ไทยถูกหั่นเครดิตคือกับดักเศรษฐกิจโตต่ำ ซึ่งหากเศรษฐกิจยังเติบโตในระดับ 2% ต่อไปเรื่อยๆ อาจกระทบถึงอันดับความน่าเชื่อถือโดยตรง ไม่ใช่แค่แนวโน้ม 
  • บุรินทร์ ชี้ความเสี่ยงในการถูกลดเครดิตมาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำ การขาดดุลงบประมาณต่อเนื่อง และนโยบายประชานิยมที่เพิ่มภาระรายจ่าย ซึ่งทั้งหมดส่งผลให้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีสูงขึ้นรวดเร็ว
  • อธิภัทธ ชี้ไทยเผชิญการขาดดุลเรื้อรังมานานกว่า 20 ปี ทำให้ฐานะการคลังด้อยกว่าประเทศอื่นอย่างชัดเจน  
  • หวั่นความเสี่ยงสำคัญคือ การสูญเสียความเชื่อมั่นของตลาดหากถูกมองว่ารัฐบาลขาดวินัยทางการคลัง ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น
  •  

ปัจจุบันสถานการณ์ “การคลังไทย” กำลังเผชิญแรงกดดันจาก “การขาดดุลเรื้อรัง” และความเสี่ยงถูก “ลดอันดับความน่าเชื่อถือ” การปฏิรูปภาษีจึงเลี่ยงไม่ได้ ทั้งในมิติรายได้ ความเป็นธรรม และความยั่งยืน ภาครัฐต้องวางแผนระยะยาว เปิดเผยข้อมูล และใช้เทคโนโลยีจัดเก็บอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างระบบภาษีที่ประชาชนยอมรับได้

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวถึงความเสี่ยงในการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือประเทศ ที่ผ่านมา หน่วยงานจัดอันดับเครดิตอย่างน้อยหนึ่งราย คือ มูดี้ส์ (Moody's) ได้ลด Outlook ของไทยลงจากระดับ “stable” คงที่ เป็น “negative” หรือเชิงลบแล้ว

และคาดการณ์ว่าหน่วยงานจัดอันดับเครดิตอื่นๆ เช่น ฟิทช์ (Fitch) หรือ เอสแอนด์พี (S&P) ก็มีแนวโน้มที่จะดำเนินการตามมาในไม่ช้า

ปัจจุบัน ยอมรับว่า หนี้ภาครัฐที่สูงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ถูกพิจารณา ส่วนหนึ่งที่เป็นไปตามระบบที่ได้จัดสรรมาตั้งแต่รัฐบาลชุดก่อน และมองว่างบประมาณรัฐบาลชุดปัจจุบันที่ผ่านสภาฯ แล้ว ก็จะดำเนินต่อไป

ดังนั้น ปัญหาสำคัญที่ต้องแก้คือ ความจำเป็นหาแหล่งรายได้เพิ่ม เพื่อลดภาระการคลัง และลดรายจ่าย เนื่องจากไทยเผชิญการขาดดุลการคลังระดับสูง อนาคตจะกลายเป็นหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น ทางออกจึงสรุปได้ 2 ข้อหลัก คือ 1.ลดรายจ่าย และ 2.หาแหล่งรายได้

สิ่งที่ต้องดำเนินการ คือ มาตรการเฉพาะเจาะจง (targeted) เช่น หากต้องการกระตุ้นกำลังซื้อคนรายได้น้อย ควรใช้มาตรการที่มุ่งเป้าไปที่กลุ่มนั้นโดยเฉพาะ มาตรการดังกล่าวต้องใช้งบจำกัด แต่ต้องหวังผลเรื่องตัวทวีคูณ เช่น คนละครึ่ง ที่งบไม่มากมาย แต่เห็นเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจ

เศรษฐกิจโตต่ำไทย “ถูกลดเครดิต”

อย่างไรก็ตาม มองว่า ภาระการคลังไม่ใช่เรื่องหลักของสาเหตุการหั่นเครดิตเรตติ้ง มองว่า ตัวแปรสำคัญสุด มาจากกับดักเศรษฐกิจโตต่ำ การเติบโตเศรษฐกิจช้าลง คือ ตัวแปรสำคัญที่สุดที่กำหนดว่า อันดับความน่าเชื่อถือจะถูกลดลงหรือไม่ ซึ่งเป็นไฮไลต์ เนื่องจากไทยกำลังเผชิญกับดักเศรษฐกิจโตต่ำโตได้เพียง 2% หรือไม่ถึง 3% นานต่อเนื่อง ไม่มีแนวโน้มหลุดพ้นกับดักนี้ได้เลย

ทั้งนี้ เป็นการเติบโตที่ผิดปกติ และต่ำกว่าศักยภาพ เศรษฐกิจไทยเคยเติบโตดีกว่านี้ และเมื่อเทียบเพื่อนบ้าน ประเทศเหล่านั้นโตมากกว่าไทย เพราะไทยเติบโตผิดปกติมานานที่น่ากังวลคือ ศักยภาพการเติบโตของไทยกำลังถูกปรับลดลง

ดร.อมรเทพ กล่าวต่อว่า รัฐบาลต้องแก้ปัญหาจริงจัง ดูทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ฝากถึงรัฐบาลชุดต่อๆ ไปสานต่อเรื่องนี้ ต้องหามาตรการดึงเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้สูงขึ้นระยะยาว ไม่ควรดูแค่มาตรการระยะสั้น เช่น แจกเงิน โครงการคนละครึ่ง หรือมาตรการอื่นๆ

“หากเศรษฐกิจยังโตต่ำราว 2% แบบนี้ไปเรื่อยๆ ความเสี่ยงถูกหั่นอันดับความน่าเชื่อถือ จะไม่ใช่แค่ Outlook เท่านั้น แต่อาจกระทบถึงตัว Rating จริงๆ เพราะเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านแล้วไทยกำลังดูแย่กว่า”

การคลัง-เศรษฐกิจเติบโตต่ำทำไทยเสี่ยง

นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการและ Chief Economist ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ไทยมีความเสี่ยงหลายประการที่จะถูกปรับลดเครดิตความน่าเชื่อถือ ปัจจัยหลักมาจากการจัดการเศรษฐกิจมหภาค การคลังสาธารณะ และโครงสร้างเศรษฐกิจ

ด้านเศรษฐกิจมหภาค และความเสี่ยงหนี้สิน หากเศรษฐกิจไม่เติบโตมากพอ หรือจีดีพีเติบโตต่ำ ฟื้นช้า ขณะที่หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีใหญ่ขึ้น ปัจจุบันไทยเศรษฐกิจฟื้นได้ช้า และโตต่ำ ทำให้ระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีสูงขึ้นรวดเร็ว

หากดูความเสี่ยงวินัยการคลัง และการขาดดุล หากรัฐบาลยังคงขาดดุลงบประมาณต่อเนื่อง จะทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นรวดเร็ว หลายปีที่ผ่านมาไทยมักขาดดุลค่อนข้างมากติดลบประมาณ 4% ถึง 10% ทุกปี ระดับหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และอาจชนเพดานหนี้ได้

การขาดดุลที่เกิดขึ้น เนื่องจากรายจ่ายภาครัฐมักมากกว่ารายได้ ดังนั้น คำถามสำคัญคือ แต่ละรัฐบาลจะรักษา และจัดการวินัยการคลังได้อย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดการขาดดุลงบประมาณ

ทั้งยังมีความเสี่ยงนโยบายประชานิยม และภาระรายจ่ายมากเกินไป เช่น แจกเงิน หรือเน้นประชานิยมอย่างเดียว ไม่ช่วยให้จีดีพีประเทศเติบโตขึ้นได้ หากมีนโยบายประชานิยมจำนวนมาก สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ อาจพิจารณาปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศลงได้

เช่นเดียวกันกับรายจ่ายภาคสังคม เช่น สวัสดิการผู้สูงอายุ และคนชรา หากรัฐบาลยังคงแจกสวัสดิการไปเรื่อยๆ และระบบสวัสดิการครอบคลุมคนมากขึ้น แต่เก็บภาษีได้น้อยลงเนื่องจากปัญหาประชากรสูงวัย สถานการณ์นี้อาจคล้ายกับที่เกิดขึ้นในประเทศฝรั่งเศส

ทั้งนี้ไทยยังมีความเสี่ยงเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจ เนื่องจากจีดีพีเติบโตต่ำ และพึ่งพาธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งมากเกินไป เช่น พึ่งพาท่องเที่ยว อุตสาหกรรมรถยนต์ หรือส่งออกมากเกินไป หากเกิดภาวะช็อกในธุรกิจเหล่านั้น จะทำให้รายได้ประเทศหดตัวหนัก นำไปสู่การจัดเก็บภาษีไม่ได้

สำหรับแนวทางแก้ไขการเพิ่มรายได้ และการจัดการภาษีมองว่า

1. ขยายฐานภาษี และอุดช่องโหว่  โดยรัฐควรพยายามนำทุกคนที่อยู่นอกระบบภาษีเข้ามาในฐานภาษี และเก็บภาษีการค้าให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย

2.เพิ่มอัตราภาษี เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ต้องเพิ่มขึ้นค่อยเป็นค่อยไป 

นอกจากนี้ มองว่า

1.รัฐบาลต้องลดรายจ่าย โดยเฉพาะรายจ่ายประจำ ควรมีแผนชัดเจนลดจำนวนบุคลากร และหันมาใช้เครื่องมือหรือเทคโนโลยี เช่น AI ลดรายจ่ายประจำ หากภาครัฐขยายตัวใหญ่ขึ้นทั้งจำนวนกระทรวง และบุคลากร แต่ประสิทธิภาพบริหารไม่ได้ทำให้จีดีพีโตตามสัดส่วนของคน ถือเป็นความเสี่ยงที่ Rating Agency จับตาดู

2.จัดการสวัสดิการ ต้องให้สวัสดิการแก่ผู้ที่มีสิทธิจริงๆ ไม่แจกซ้ำซ้อน

3.ควบคุมนโยบายฟุ่มเฟือย ลดนโยบายที่ถูกมองว่าฟุ่มเฟือยหรือประชานิยมไม่ได้ผล และต้องใช้จ่ายงบประมาณอย่างจำกัด และระมัดระวัง ไม่ให้เกิดความทับซ้อนกัน

คลังขาดดุลเรื้อรังนานกว่า 20 ปี

นายอธิภัทธ มุทิตาเจริญ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ไทยเผชิญการขาดดุลเรื้อรังยาวนานกว่า 20 ปี ปีที่ผ่านมาไม่พบสัญญาณฟื้นตัว กลางปีมูดี้ส์ปรับ Outlook ประเทศไทยเป็นลบ ขณะที่อีกสองสถาบันจัดอันดับชี้ว่าการเงินสาธารณะเป็นปัจจัยเสี่ยง การเปรียบเทียบกับประเทศกลุ่มเดียวกันสะท้อนว่า “ฐานะการคลัง” ไทยด้อยกว่าชัดเจน

หากดูตัวเลขดอกเบี้ยต่อรายได้รัฐปัจจุบันอยู่ที่ 9% และคาดขยับเป็น 11% ในปีหน้า สูงเกินเกณฑ์ Investment Grade การปรับ Outlook เป็นสัญญาณเตือนสำคัญ หากอีกสองสถาบันปรับตามยิ่งกดดันไทยมากขึ้น ภาษีจึงถูกมองเป็นเครื่องมือที่ขยับได้ง่ายกว่าลดรายจ่าย และกำลังกลายเป็นวาระสำคัญทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม ย้ำว่าไทยไม่ถึงขั้น “วิกฤติการคลัง” เพราะหนี้ส่วนใหญ่เป็นเงินบาท และระยะยาว นักลงทุนกว่า 80% อยู่ในประเทศ แต่ความเสี่ยงอยู่ที่ “ความเชื่อมั่นตลาด” หากมองว่ารัฐไร้วินัยการคลัง ต้นทุนกู้ยืมจะพุ่งขึ้นทันที

รายได้ภาษีต่ำ-ใช้หนี้เป็นหลัก

ปัจจุบันครึ่งหนึ่งของรายได้รัฐถูกนำไปชำระหนี้ ขณะที่รายได้ภาษีหลักยังต่ำมาก สัดส่วน 75% มาจาก 3 แหล่งคือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นิติบุคคล และ VAT ภาษีบุคคลธรรมดา คิดเป็นเพียง 14% ของรายได้ภาษีทั้งหมด ผู้เสียภาษีจริงมีเพียง 4 ล้านคน หรือราว 10% ของแรงงาน ปัญหาคือเศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่ และสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีที่เพิ่มขึ้นตลอด 20 ปี ทำให้รัฐสูญเสียรายได้กว่า 20% ของที่เก็บได้จริง

ภาษีนิติบุคคล มีสัดส่วน 27% แต่สิทธิประโยชน์ BOI สูงถึงกว่า 2 แสนล้านบาท คิดเป็น 30% ของรายได้ภาษี ข้อมูลต้นทุนนี้ไม่ถูกเปิดเผยตั้งแต่ปี 2018 แม้ภาษีไทยอยู่ที่ 20% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 23% ของคู่แข่ง ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สร้างรายได้สูงสุด 23% แม้กฎหมายกำหนดเพดาน 10% แต่เก็บจริงต่ำกว่า การปรับขึ้น VAT เป็นโจทย์ยากทางการเมือง และสังคม

ดังนั้น ภาครัฐควรมีการปฏิรูปภาษีควรมี 3 ด้านสำคัญ

1. Tax Burden Map แผนที่แสดงภาระภาษีแต่ละกลุ่ม จะช่วยให้เห็นความเป็นธรรม และสร้างฉันทามติสังคม

2. สะพานตรวจสอบ ภาครัฐควรเปิดเผยต้นทุนสิทธิประโยชน์ภาษี และมี “สถาบันการคลังอิสระ” ตรวจสอบ

3. เข็มทิศปฏิรูป วางแผนระยะยาวเหมือนสิงคโปร์ และญี่ปุ่น อุดรูรั่วสิทธิประโยชน์ภาษี ขยายฐานภาษี ค่อยขึ้น VAT หากยังไม่พอ

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์