สมาคมประกันวินาศภัยไทย เร่งสร้างนวัตกรรม รับมือความเสี่ยงโลกใหม่

สมาคมประกันวินาศภัยไทย เร่งสร้างนวัตกรรม รับมือความเสี่ยงโลกใหม่

สมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดทิศทางอุตสาหกรรม มุ่งยกระดับด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และความยั่งยืน รับมือความเสี่ยงยุคใหม่ ตั้งแต่ภัยพิบัติ สุขภาพ สังคมสูงวัย ไปจนถึงความผันผวนภูมิรัฐศาสตร์

สมาคมประกันวินาศภัยไทย จัดงานขอบคุณสื่อมวลชนประจำปี 2568 พร้อมเปิดเวทีแลกเปลี่ยนมุมมองและทิศทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมผ่านกิจกรรม Executive Talk 

โดยได้รับเกียรติจาก ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย บรรยายพิเศษในหัวข้อ “เร่งสร้างนวัตกรรมสู่การเปลี่ยนผ่าน ธุรกิจประกันภัยที่ยั่งยืนในโลกใหม่”

เพื่อสะท้อนวิสัยทัศน์และทิศทางของอุตสาหกรรมประกันภัยไทย โดยมีผู้แทนจากคณะกรรมการประกันภัยในสาขาต่าง ๆ ร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแนวทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยไทย ในหลากหลายมิติ

อาทิ การพัฒนาโมเดลประกันภัยเพื่อรองรับภัยพิบัติทางธรรมชาติในภาคธุรกิจประกันวินาศภัย การขยายตลาดประกันภัยทางทะเลและโลจิสติกส์ภายใต้บริบทของสงครามการค้า รวมถึงการพัฒนาระบบประกันสุขภาพให้มีความยั่งยืนและสามารถรองรับความต้องการของประชาชนในระยะยาว 

โดยหวังผลักดันอุตสาหกรรมประกันภัยไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในยุคใหม่ ด้วยการสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทั้งภาคธุรกิจและผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระหว่างวันที่ 20–21 กันยายน 2568 

ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับตัวของภาคธุรกิจประกันภัย ท่ามกลางบริบทของ “โลกใหม่” 

  • โลกใหม่กับโจทย์ท้าทายของธุรกิจประกันภัย

โดยมองว่า โลกปัจจุบันเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี สภาพภูมิอากาศ หรือพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งทั้งหมดล้วนกดดันให้ธุรกิจประกันภัยต้องเร่งนำนวัตกรรมเข้ามาใช้ทั้งในระดับผลิตภัณฑ์ บริการ และโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ

โดยเฉพาะการเข้าสู่สังคมดิจิทัลที่ผู้บริโภคคาดหวังประสบการณ์บริการแบบไร้รอยต่อ ตั้งแต่การซื้อประกัน การเรียกร้องค่าสินไหม ไปจนถึงการติดต่อสอบถาม ทุกอย่างต้องทำได้ผ่านสมาร์ตโฟนเพียงเครื่องเดียว ขณะเดียวกันเทคโนโลยีสมัยใหม่

เช่น AI, Big Data, IoT, Sensor, Robotic และ Blockchain กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมอย่างลึกซึ้ง เปิดโอกาสให้ผู้เล่นหน้าใหม่ในรูปแบบ InsurTech เข้ามามีบทบาทสำคัญ

  • ความเสี่ยงภูมิอากาศและโจทย์ ESG

อีกความท้าทายที่ไม่อาจละเลยคือผลกระทบจาก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทำให้ภัยพิบัติเกิดบ่อยขึ้นและรุนแรงขึ้น เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง พายุ และไฟป่า สิ่งเหล่านี้บีบให้อุตสาหกรรมต้องพัฒนาระบบ Climate Risk Insurance และเครื่องมือบริหารจัดการความเสี่ยงใหม่ เช่น Flood Zoning หรือการทำ Digital Flood Risk Map ที่สามารถอัปเดตได้แบบเรียลไทม์

นอกจากนี้ ความคาดหวังในเรื่อง ESG (Environment, Social, Governance) ไม่ใช่เพียง “ทางเลือก” อีกต่อไป แต่กลายเป็นข้อกำหนดสำคัญของทุกธุรกิจ บริษัทประกันภัยจึงต้องดำเนินงานโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน

  • พฤติกรรมผู้บริโภคกับ Personalized Insurance

ในยุคดิจิทัล ลูกค้ามีข้อมูลในมือมากขึ้น สามารถเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็ว การตัดสินใจซื้อประกันจึงไม่ได้เกิดจากข้อบังคับเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นและความคุ้มค่าที่ได้รับ ส่งผลให้นวัตกรรมด้าน Personalized Insurance มีบทบาทสำคัญมากขึ้น

แนวโน้มผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น Usage-Based Insurance, Embedded Insurance และ All-in-One Insurance ล้วนถูกออกแบบให้ตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคล โดยมี AI, Big Data และ IoT เป็นหัวใจสำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก

  • มุ่งหาเครื่องมือใหม่ เสริมแกร่งธุรกิจประกันภัย 

นายฮากีม เบ็ญราฮีม ประธานคณะกรรมการประกันภัยทรัพย์สิน กล่าวว่า ความถี่และความรุนแรงของภัยพิบัติทางธรรมชาติ

เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว และพายุ สะท้อนความจำเป็นในการพัฒนา CAT Model (Catastrophe Model) เพื่อประเมินความเสี่ยงได้แม่นยำขึ้น เหตุการณ์มหาอุทกภัยปี 2554 เป็นบทเรียนชี้ว่า ข้อมูลในอดีตเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ การใช้ CAT Model จึงช่วยทั้งบริษัทประกันภัย ภาครัฐ และประชาชนวางแผนรับมืออย่างรอบด้าน

CAT Model อาศัยการผสานข้อมูลคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเชิงพื้นที่ เช่น Digital Elevation Model, Lidar และภาพถ่ายดาวเทียม เพื่อสร้างแผนที่สามมิติและจำลองการไหลของน้ำได้สมจริง ข้อมูลที่ได้ยังสามารถประเมินความเสียหายและมูลค่าความเสี่ยงได้ใกล้เคียงความจริง

สำหรับธุรกิจประกันภัย CAT Model เป็นกลไกสำคัญในการกำหนดเบี้ยและกองทุนสำรอง ขณะที่ภาครัฐและภาคธุรกิจสามารถนำไปใช้วางแผนโครงสร้างพื้นฐานและผังเมือง เพื่อเพิ่มความทนทานต่อภัยพิบัติในอนาคต

“การลงทุนใน CAT Model คือการลงทุนเพื่อความปลอดภัยและความยั่งยืนของประเทศ” และต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายเพื่อพัฒนาแบบจำลองที่สอดคล้องกับบริบทไทย"

  • การประกันภัยทางทะเลและโลจิสติกส์

นายจุฑาธวัช เพ็งศรี ประธานคณะกรรมการประกันภัยทางทะเลและโลจิสติกส์ กล่าวว่า มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ภายใต้ “ทรัมป์ 2.0” รวมถึงความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัว ทั้งการเปลี่ยนเส้นทางการค้า (Port Switching) การเร่งนำเข้า–ส่งออกล่วงหน้า และการเปลี่ยนถิ่นกำเนิดสินค้า (Change Origin) เพื่อเลี่ยงมาตรการทางการค้า ปรากฏการณ์นี้สะท้อนถึงความซับซ้อนและความเสี่ยงใหม่ที่ธุรกิจประกันภัยทางทะเลต้องติดตาม

ข้อมูลจากสภาพัฒน์ฯ ระบุว่า ไตรมาส 2/2568 การส่งออกไทยมีมูลค่า 84,171 ล้านดอลลาร์ฯ เพิ่มขึ้น 15% ขณะที่การนำเข้าอยู่ที่ 78,883 ล้านดอลลาร์ฯ เพิ่มขึ้น 16.8% ส่วนเบี้ยประกันภัยสินค้ากลับหดตัว 4.3% แสดงถึงความไม่สัมพันธ์กับมูลค่าการค้า อาจเป็นผลจากกลยุทธ์ Change Origin ซึ่งไม่สะท้อนอุปสงค์ที่แท้จริง

พร้อมกันนี้ ภาคขนส่งระหว่างประเทศยังเผชิญความเสี่ยงจากสงคราม รัสเซีย–ยูเครน, อิสราเอล–ฮามาส รวมถึงเหตุการณ์โจมตีเรือในทะเลแดงและช่องแคบฮอร์มุซ ตลอดจนภัยจากอุบัติเหตุ

เช่น ไฟไหม้เรือทุก 2–3 สัปดาห์ ตู้คอนเทนเนอร์ตกทะเล และภัยคุกคามไซเบอร์ที่ทำให้ท่าเรือใหญ่ต้องหยุดปฏิบัติงาน ความเสียหายจากอุบัติเหตุ เช่น กรณีเรือ Dali ชนสะพานในสหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงผลกระทบมหาศาลต่อห่วงโซ่อุปทานโลก

ท่ามกลางความเสี่ยงเหล่านี้ การทำประกันภัยสินค้ากับบริษัทในประเทศจึงเป็นทางเลือกสำคัญ เพราะให้ความคุ้มครองต่อเนื่องถึงโกดังปลายทาง มีอำนาจต่อรองเงื่อนไขกรมธรรม์ เข้าใจง่ายและเรียกร้องค่าสินไหมสะดวก

อีกทั้งยังสนับสนุนความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมประกันภัยไทย มองว่า การเลือกประกันภัยในประเทศไม่เพียงช่วยบริหารความเสี่ยง แต่ยังเป็นกลไกเสริมความมั่นคงและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยท่ามกลางความไม่แน่นอนของโลก

  • อุตสาหกรรมประกันสุขภาพเร่งปรับตัว สังคมสูงวัย–ค่ารักษาพุ่ง ท้าทายอนาคต

นายปิยะพัฒน์ วนอุกฤษฏ์ ประธานคณะกรรมการประกันภัยอุบัติเหตุและสุขภาพ กล่าวถึงแนวโน้มประเทศไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงอายุสมบูรณ์” โดยปี 2568 จะมีผู้สูงอายุคิดเป็น 21.31% ของประชากร

และเพิ่มเป็น 25% ในปี 2573 และ 30% ในปี 2583 โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีสัดส่วนสูงกว่า ซึ่งสะท้อนถึงภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่จะเพิ่มขึ้น ทั้งจากโรคเรื้อรัง การเข้าถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์ และความจำเป็นในการลงทุนด้านสุขภาพที่ยั่งยืน

เศรษฐกิจปี 2568 คาดว่า GDP ไตรมาส 2 จะโต 2.8% ขณะที่ธุรกิจประกันสุขภาพยังโตได้ 8–9% ทว่าถูกกดดันจากอัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์ (Medical Inflation) ที่อาจสูงถึง 14.3% ทำให้ค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น

เช่น ค่าผู้ป่วยนอกเฉลี่ย 878 บาทต่อครั้ง และค่าผู้ป่วยในเฉลี่ย 20,445 บาทต่อราย ปัจจัยหนุนเงินเฟ้อทางการแพทย์ ได้แก่ การใช้เทคโนโลยีและยารุ่นใหม่ เช่น Targeted Therapy และ GLP-1 การผ่าตัดแบบ minimally invasive การใช้ AI การดูแลสุขภาพจิตและ telehealth

รวมถึงปัญหาค่าแรงบุคลากร การขาดแคลนแพทย์ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการนำเข้ายาที่อ่อนไหวต่อค่าเงินบาท โดยข้อมูลจาก WTW, AON และ Marsh พบว่าอัตราเงินเฟ้อการแพทย์ของไทยสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั้ง APAC และ Global ตั้งแต่ปี 2022

สำหรับแผนพัฒนาประกันภัยสุขภาพ ระยะสั้น 1–3 ปี จะเน้นออกผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องความเสี่ยงและปรับเบี้ยประกัน ยกระดับมาตรฐานราคา (Pricing Structure) ของยาและค่ารักษา จัดกลุ่มโรงพยาบาลเครือข่ายตามต้นทุน ผลักดันกฎหมาย Itemize Billing ป้องกันปัญหาการเบิกซ้ำ ใช้ Insurance Connext และ Open Insurance พร้อมส่งเสริมการใช้ AI ในการขาย การรับประกัน และตรวจจับการฉ้อฉล รวมถึงพัฒนา Dashboard กลางของอุตสาหกรรม

ส่วนแผนระยะยาว 5–10 ปี มุ่งบูรณาการระบบประกันสุขภาพภาคสมัครใจเข้ากับสวัสดิการรัฐ เช่น กรมธรรม์ Top up สิทธิประกันสังคมและ สปสช. เพื่อเพิ่มทางเลือกและความคุ้มครอง โดยร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ประชาชนเฉพาะกลุ่ม เช่น ข้าราชการหรือแรงงานในระบบ เพื่อยกระดับการเข้าถึงบริการอย่างทั่วถึงและยั่งยืน

“ความท้าทายด้านสุขภาพในอนาคตไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นโจทย์ร่วมที่ภาครัฐ เอกชน และประชาชนต้องร่วมมือกันพัฒนาระบบประกันสุขภาพเพื่อความมั่นคงของสังคมไทย”

  • การยกระดับความรู้ด้านประกันภัย

ดร.สมพร ปิดท้ายว่า สิ่งที่สมาคมฯ ให้ความสำคัญ คือ การให้ความสำคัญกับ Insurance Literacy หรือความรู้ความเข้าใจของประชาชนเกี่ยวกับประกันภัย โดยเสนอให้มีผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ที่เข้าใจง่าย

เช่น Modular Insurance ที่เลือกความคุ้มครองได้ตามงบประมาณ, Bite-Sized Insurance ที่มีเบี้ยต่ำ และ Embedded Insurance ที่ผูกมากับบริการอื่น ๆ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ประชาชนค่อย ๆ เข้าถึงและเรียนรู้ประกันภัยผ่านประสบการณ์จริง

สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมประกันภัยไทยกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ การขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืนไม่ใช่เพียงการปรับผลิตภัณฑ์ แต่ต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล เสริมระบบบริหารความเสี่ยงที่ทันสมัย และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน

การเปลี่ยนผ่านนี้จะสำเร็จได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม เพื่อให้ธุรกิจประกันภัยยังคงทำหน้าที่หลักในการบริหารความเสี่ยง สร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และดูแลสังคมไทยให้เดินหน้าได้อย่างมั่นคงในระยะยาว