ภัยไซเบอร์ คุกคามทุกเจเนอเรชัน นักวิชาการเผย 73% คนไทยกว่าครึ่ง ตกเป็นเหยื่อจาก ‘รักลวงหลอก’

ภัยไซเบอร์ คุกคามทุกเจเนอเรชัน นักวิชาการเผย 73% คนไทยกว่าครึ่ง ตกเป็นเหยื่อจาก ‘รักลวงหลอก’

เวที BOT Symposium 2025 ชี้ ความสะดวกจาก Fast Pay อาจกลายเป็นดาบสองคม เมื่อมิจฉาชีพใช้ช่องโหว่จิตวิทยาหลอกลวงผู้คน ตั้งแต่ซื้อขายออนไลน์จนถึงรักลวงหลอก ตัวเลขชี้ชัด 73% ของคนไทยเผชิญภัยจากธุรกรรมการเงินดิจิทัล และเกือบครึ่งหนึ่งตกเป็นเหยื่อ

การใช้จ่ายผ่านระบบการเงินดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะธุรกรรมที่รวดเร็วผ่านบริการ Fast Pay ทำให้การจับจ่ายใช้สอยของคนไทยสะดวกและคล่องตัวมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ความสะดวกสบายนี้ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงใหม่ ๆ

ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้จัดงาน BOT SYMPOSIUM 2025 เมื่อวันศุกร์ที่ 19 กันยายน ภายใต้หัวข้อ “การรู้เท่าทันภัยการเงิน” เพื่อสะท้อนให้เห็นว่า ภัยอันตรายแฝงมากับโลกการเงินดิจิทัลกำลังเป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามได้

ดร.ฐิติ ทศบวร จากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้นำเสนอรายงานเกี่ยวกับแนวโน้มอาชญากรรมออนไลน์ โดยพบว่าปัจจุบันการโจรกรรมผ่านแอปดูดเงินลดลงไปมาก

แต่กลับมีการหลอกให้โอนเงินด้วยความสมัครใจเพิ่มขึ้นแทน เหยื่อในแต่ละรูปแบบก็แตกต่างกันไป เช่น คนอายุ 20-30 ปี มักถูกหลอกผ่านการหางานหรือซื้อขายของออนไลน์ ส่วนคนอายุ 40-50 ปี มักตกเป็นเหยื่อของ “โรแมนซ์สแกม” หรือการถูกหลอกให้รักและโอนเงิน

ปรากฏการณ์นี้สะท้อนว่า มิจฉาชีพไม่ได้ใช้อาวุธโจมตีเหมือนในอดีต แต่เปลี่ยนมาใช้อาวุธทางจิตวิทยาที่ร้ายแรงไม่แพ้กัน

  • สำหรับแนวทางแก้ไข ดร.ฐิติ เสนอไว้ 3 ช่องทาง

 1.    การคัดกรองมิจฉาชีพออกจากแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยเฉพาะโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook ซึ่งเป็นแหล่งเกิดอาชญากรรมมากที่สุด คิดเป็น 65% ของกรณีทั้งหมด วิธีการคือ ตรวจสอบพฤติกรรมการส่งต่อเลขบัญชีและบทสนทนาที่น่าสงสัย
    2.    การแจ้งเตือนจากธนาคารเมื่อพบธุรกรรมเสี่ยงสูง เช่น การเปิดบัญชีจำนวนมากผิดปกติ หรือบัญชีที่เคยมีประวัติคดีฉ้อโกง
    3.    การพัฒนาระบบรับแจ้งเหตุให้รวดเร็ว โดยผู้เสียหายควรรีบแจ้งตำรวจทันทีหลังเกิดเหตุ เพื่อให้สามารถติดตามเส้นทางการเงินและดำเนินมาตรการได้อย่างทันท่วงที

การบังคับใช้พระราชกำหนดไซเบอร์ปี 2566 ช่วยให้สถาบันการเงินสามารถแบ่งปันข้อมูลซึ่งกันและกัน ก่อให้เกิดระบบ Central Fraud Registry (CFR) ที่ใช้ติดตามเส้นทางการเงิน ตรวจสอบพฤติกรรมมิจฉาชีพ และตรวจสอบการนำเงินออกจากระบบ ซึ่งข้อมูลที่แชร์ระหว่างหน่วยงานกับเจ้าหน้าที่ถือเป็นประโยชน์สำคัญต่อการป้องกันอาชญากรรม

รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ จากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมบางอย่างทำให้ผู้ใช้งานเสี่ยงตกเป็นเหยื่อได้ง่ายขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นการแชร์ลิงก์พนันออนไลน์ การดาวน์โหลดไฟล์โดยไม่ตรวจสอบ การผูกบัตรตัดเงินอัตโนมัติ หรือการเก็บรหัสผ่านไว้ในอุปกรณ์ของผู้อื่น

สถิติยังพบว่า 73% ของคนไทยเคยเผชิญความเสี่ยงจากภัยการเงินดิจิทัล เช่น การได้รับสายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และกว่า 47% ของกลุ่มนี้ตกเป็นเหยื่อจริง

ดร.นวลน้อยยังอธิบายว่า การตลาดที่เจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ (Targeted Marketing Campaigns) ทำให้มิจฉาชีพเข้าถึงข้อมูลความสนใจและพฤติกรรมของเหยื่อได้ง่ายขึ้น ก่อนนำไปใช้สร้างความเชื่อใจเพื่อหลอกให้โอนเงิน งานวิจัยพบว่า 25% ของกลุ่ม Baby Boomer และ 13% ของ Gen X เคยถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้โอนเงิน

ขณะที่การถูกหลอกลงทุนพบใน 18% ของ Baby Boomer และ 17% ของ Gen X ส่วน Gen Z กว่า 81% และ Gen Y ราว 72% มักถูกหลอกผ่านการซื้อขายของออนไลน์

การศึกษาเพิ่มเติมยังพบว่า ความเสี่ยงที่จะถูกหลอกจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงอายุ 45 ปี ก่อนที่จะค่อย ๆ ลดลง เนื่องจากผู้สูงอายุมีการเข้าถึงโลกดิจิทัลน้อยกว่า อีกทั้งผลกระทบไม่ได้หยุดอยู่แค่ด้านการเงิน

แต่ยังบั่นทอนความมั่นใจในตนเอง ความเคารพในตนเอง และบางกรณีรุนแรงถึงขั้นต้องเข้ารับการรักษาจากจิตแพทย์ ซึ่งในมิติผลกระทบทางอ้อมเช่นนี้ ยังไม่มีมาตรการรองรับที่ชัดเจน

ดร.นวลน้อยเสริมว่า ปัจจุบันอาชญากรรมออนไลน์เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย ทำให้การจับกุมทำได้ยาก อีกทั้งใช้ต้นทุนต่ำแต่ผลตอบแทนสูง ยิ่งดึงดูดให้ผู้ไม่หวังดีหันมาทำมากขึ้น ดังนั้น สิ่งสำคัญคือต้องส่งข้อมูลกลับไปสู่ผู้บริโภค เพื่อให้รู้เท่าทันและป้องกันตัวเอง

พร้อมเสนอแนวทาง 3 ประการ ได้แก่ ทำให้อินเทอร์เน็ตปลอดภัยต่อการใช้งาน สร้างการตื่นตัวแก่ผู้ใช้งาน และเพิ่มการร่วมมือแบ่งปันข้อมูลระหว่างรัฐกับองค์กรต่าง ๆ

โดยสรุป แม้การเงินดิจิทัลจะทำให้การใช้จ่ายสะดวกและรวดเร็วขึ้น แต่ความรวดเร็วนั้นก็ทำให้การติดตามเส้นทางเงินเป็นเรื่องยากขึ้นตามไปด้วย การป้องกันปัญหาจึงต้องอาศัยความร่วมมือของหลายภาคส่วน โดยเฉพาะการแบ่งปันข้อมูลระหว่างองค์กรและการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องให้ผู้ใช้งาน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน ลดความเสี่ยง และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต