ความวุ่นวายทั้งหลายล้วนเกิดจาก “เงิน”

ความวุ่นวายและการประท้วงในฝรั่งเศสมีสาเหตุหลักมาจากการที่รัฐบาลต้องดำเนินนโยบายรัดเข็มขัด ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศที่อยู่ในระดับสูงถึง 114.1% ของจีดีพี
KEY
POINTS
- ความวุ่นวายและการประท้วงในฝรั่งเศสมีสาเหตุหลักมาจากการที่รัฐบาลต้องดำเนินนโยบายรัดเข็มขัด ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศที่อยู่ในระดับสูงถึง 114.1% ของจีดีพี
- ปัญหาหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นทั่วโลกจากการกู้ยืมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงดอกเบี้ยต่ำและช่วงโควิด-19 ได้สร้างภาระทางการคลังที่หนักขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
- การมีหนี้สาธารณะในระดับสูง (เกิน 90-100% ของจีดีพี) ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยตรง ทำให้ประเทศเปราะบาง ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น และจำกัดความสามารถของรัฐบาลในการใช้นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคต
- ความพยายามของรัฐบาลฝรั่งเศสในการแก้ปัญหาทางการเงิน เช่น การเสนอตัดงบประมาณและลดวันหยุดเพื่อเพิ่มผลิตภาพ ได้นำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมือง การลาออกของนายกรัฐมนตรี และการต่อต้านจากประชาชนอย่างต่อเนื่อง
- บทความชี้ให้เห็นว่าสถานการณ์หนี้ของไทยที่พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ เป็นเรื่องน่ากังวล และเตือนให้รัฐบาลมุ่งเน้นการลงทุนระยะยาวแทนนโยบายประชานิยม เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างภาระให้คนรุ่นหลังและป้องกันปัญหาความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ระยะนี้มีข่าวความวุ่นวายในฝรั่งเศสสืบเนื่องมาจากการรัดเข็มขัดของรัฐบาล และมีผู้นำสถานะหนี้ของรัฐในประเทศต่างๆ มาเปรียบเทียบกัน ล้วนแต่ดูแล้วหดหู่ ลองมาติดตามกันดูสักนิด เผื่อจะได้หาวิธีป้องกันไม่ให้เกิดกับประเทศของเรา หรือหากจะเกิดก็อย่างน้อยมีระบบบรรเทาความเสียหายเตรียมไว้พร้อมแล้ว
ข้อมูล ณ สิ้นสุดเดือน มีนาคม 2568 ประเทศในยุโรป มีหนี้สาธารณะเฉลี่ย 88% ของจีดีพี โดยฝรั่งเศสอยู่ในกลุ่มมีหนี้สูงคือ มีหนี้สาธารณะ หรือหนี้ภาครัฐ 114.1% เป็นรองเพียงกรีซ (152.5%) และอิตาลี (137.9%)
ในอดีต ตอนเริ่มต้นสนธิสัญญามาสตริทช์ EU พยายามให้ประเทศสมาชิกจำกัดระดับหนี้สาธารณะไว้ที่ 60% และให้รัฐบาลขาดดุลงบประมาณได้ 3% แต่พอมีการรับเบลเยียม และอิตาลี เข้ามาร่วมกลุ่ม สองประเทศนี้มีหนี้สาธารณะที่สูงเกิน 100% เกณฑ์นี้ก็ดูเหมือนจะผ่อนคลายลง
ช่วงที่รัฐบาลของประเทศต่างๆรวมอยู่ในอียูใหม่ๆ ทุกประเทศต่างก็พยายามจัดการนโยบายต่างๆให้อยู่ในกรอบ แต่พอมาถึงช่วงที่อัตราดอกเบี้ยต่ำทั่วโลก หลังวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการล่มสลายของหนี้ชับไพร์ม (หนี้คุณภาพรอง) ช่วงปี 2013-2019 ทุกประเทศก็อัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปในระบบ อัตราดอกเบี้ยลดต่ำเป็นประวัติการณ์ บางประเทศถึงกับมีอัตราดอกเบี้ยติดลบ รัฐบาลของประเทศต่างๆ กู้ยืมมาอัดฉีดระบบเศรษฐกิจกันอย่างคึกคัก และทำให้หนี้สาธารณะของประเทศในกลุ่มอียูพุ่งขึ้นไปประมาณ 30% จากฐานเดิม
วิกฤตการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ซ้ำเติมทำให้หนี้สาธารณะของทุกประเทศเพิ่มขึ้น ทั้งการจัดหาวัคซีน การจ่ายเงินอุดหนุนให้ประชาชนและธุรกิจขนาดเล็ก ฯลฯ นอกจากหนี้เพิ่มแล้ว รายได้ก็ลดลงด้วย เพราะธุรกิจต่างๆก็พากันสะบักสะบอม ไม่มีกำไรไปจ่ายภาษีให้รัฐ ทำให้รัฐขาดดุลงบประมาณกันเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี ยังโชคดีที่อัตราดอกเบี้ยต่ำเตี้ยติดดิน ทำให้รัฐไม่ต้องมีภาระจ่ายดอกเบี้ยสูงมากนัก แต่พอเกิดการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อชึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกา ในปี 2022-23 ภาระจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ของรัฐบาลประเทศต่างๆ ก็เพิ่มขึ้น
กลับมาที่ฝรั่งเศส ในฐานะประเทศแกนนำในการก่อตั้งยูโรโชนพร้อมกับเยอรมัน ในตอนนี้สถานะนี้สาธารณะของรัฐแตกต่างกันมาก ณ สิ้นสุดไตรมาสแรกของปี 2025 เยอรมันมีหนี้สาธารณะ 62.3% ของจีดีพี ขาดดุลงบประมาณ 1.7% ของจีดีพี ในขณะที่ฝรั่งเศสมีหนี้สาธารณะ 114.1% และมีการขาดดุลงบประมาณ 3.2% ของจีดีพี
หนี้สาธารณะสูงๆเป็นปัญหาอย่างไร Didier Cahen นักเศรษฐศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ได้วิเคราะห์และเตือนไว้ตั้งแต่ปี 2023 ใน EUROFI Regulatory Update ฉบับเดือนเมษายน 2023 ว่าควรต้องมีการจัดการ หากหนี้สาธารณะสูง ผู้ให้กู้อาจมีความมั่นใจน้อยลงและส่งผลถึงต้นทุนการกู้ที่สูงขึ้น (ต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราสูงขึ้น เพราะผู้ให้กู้เห็นว่าผู้กู้มีความเสี่ยงเพิ่ม)
ผลกระทบทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากหนี้สาธารณะสูงคือ
1.ภาระหนี้สูง ทำให้ประเทศเปราะบางต่อสิ่งกระทบทางเศรษฐกิจ และหากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น การใช้นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคตจะทำได้จำกัด
2. หนี้สูงทำให้รัฐบาลต้องทำงบประมาณให้เกินดุลเป็นเวลานานซึ่งเป็นไปได้ยาก
3. จากการศึกษาทั้งทางทฤษฎีและจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง หนี้สาธารณะที่สูงเกิน 90-100% ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการลงทุนเพื่อการประสิทธิภาพและการเติบโตเกิดขึ้นน้อย และพบว่า การลงทุนของภาครัฐของประเทศในกลุ่มยูโร ในช่วง 2014 -2017 น้อยกว่าในช่วงก่อนวิกฤติการเงิน คือช่วงปี 2000-2009 ถึง 500,000 ล้านยูโร
Cahen เตือนว่า ต้องมีการปฏิรูปการใช้จ่ายภาครัฐ การแก้ปัญหาทางโครงสร้างเพื่อเพิ่มผลิตภาพและการเติบโต มิฉะนั้นอาจเกิดวิกฤติครั้งใหญ่อีกครั้ง
และนั่นคือสิ่งที่อดีตนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ฟรังซัวส์ ไบ (ค)รู เสนอให้ทำการออกเสียงที่จะตัดงบประมาณ 44,000 ล้านยูโร และลดการขาดดุลงบประมาณเหลือ 4.6% ของจีดีพีในปี 2026 (จากเดิม 5.2%) โดยก่อนหน้านี้เขาเคยเสนอลดวันหยุดไปสองวัน คือวันจันทร์หลังอีสเตอร์ และวันที่ระลึกการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งจะทำให้วันหยุดราชการเหลือ 9 วันต่อปี จากปัจจุบันที่ 11 วัน เท่ากับสหรัฐอเมริกาและประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่
เขาบอกว่า วันหยุดของฝรั่งเศสมีเยอะเกินไปและทำให้ผลิตภาพต่ำ
ข้อเสนอของเขาไม่ผ่านการรับรอง เขาจึงลาออกเมื่อวันอังคารที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา และประธานาธิบดีมาครองได้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ชื่อ เซบาสเตียน เลอคอร์นู ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรีกลาโหม มาบริหารประเทศแทนซึ่งกำลังหาเสียงสนับสนุนจากพรรคอื่นอยู่ ที่จะผ่านงบประมาณปี 2026 ที่มีนโยบายลดการขาดดุลงบประมาณ และขึ้นภาษีความมั่งคั่ง
ส่วนผู้คนก็ยังประท้วงรัฐบาลกันต่อไป ฝ่ายค้านคาดว่าผู้ประท้วงในวันที่ 20 กันยายนจะมากันถึง 600,000 คน เราคงต้องติดตามกันต่อไป
เห็นไหมคะ แม้จะเป็นมหาอำนาจ แต่การดำเนินนโยบายที่ไม่มีความต่อเนื่อง ไม่ได้คำนึงถึงอนาคตระยะยาว ก็ทำให้เซไปเหมือนกัน ตอนนี้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรของฝรั่งเศสจึงปรับตัวสูงขึ้นสะท้อนความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนเห็นว่าเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันพันธบัตรอายุ 10 ปีของฝรั่งเศส ซื้อขายกันที่ อัตราผลตอบแทน 3.5405% ในขณะที่เยอรมนี อัตราผลตอบแทนเพียง 2.716% นั่นคือต้องจ่ายดอกเบี้ยมากกว่าเยอรมนี 0.82% (ข้อมูล ณ 19 กันยายน จาก Bloomberg)
หันมาบ้านเรา เรามีวันหยุดราชการปีละ 16 วัน และรัฐบาลพยายามแถมให้ทุกปี ปี 2569 มี 19 วันโดยให้เหตุผลในการกระตุ้นการท่องเที่ยว แต่ยิ่งมีวันหยุดยาว คนไทยก็ยิ่งออกไปเที่ยวนอกประเทศค่ะ โดยเฉพาะจังหวะที่ค่าเงินบาทแข็งๆอย่างนี้
รวบรวมข้อมูลนำมาเล่า เพื่อให้เราดูตัวเองด้วยนะคะ หนี้สาธารณะของเราก็พอกพูนไปเรื่อยๆ เราผลักภาระไปให้ประชาชนรุ่นลูกรุ่นหลานเราหรือไม่ ถ้าหนี้นั้นนำไปลงทุนให้เกิดผล พัฒนาคนรุ่นใหม่ให้เก่ง มีทักษะที่จะพาตัวเองไปสู่อนาคตอย่างมั่นใจ เกิดการจ้างงาน เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน ทำให้ประชากรมีรายได้สูงขึ้น รัฐเก็บภาษีได้มากขึ้น ในอนาคตที่ประชากรลดลง และเป็นสังคมสูงวัยอย่างเต็มตัว เราจะมีความมั่นคง พึ่งพาตัวเองได้ และเติบโตได้อย่างยั่งยืน
แม้รัฐบาลใหม่จะเข้ามาทำงานระยะสั้น แต่ก็อยากให้รัฐบาลมองไกล ปรับโครงสร้างให้มีการลงทุนเพื่อประโยชน์ระยะยาวมากขึ้น ไม่มุ่งเน้นประชานิยม คนจำนวนมากจะอนุโมทนาสาธุด้วยจริงๆ ค่ะ







