HSBC ชี้ อาเซียนแกร่ง ดึงดูด FDI ทะลุ 2 แสนล้านดอลล์ หนุนเศรษฐกิจโตต่อเนื่อง

HSBC ชี้ อาเซียนแกร่ง ดึงดูด FDI ทะลุ 2 แสนล้านดอลล์ หนุนเศรษฐกิจโตต่อเนื่อง

เอชเอสบีซีชี้ นโยบาย “ทรัมป์” อาจกระทบเม็ดเงิน FDI สู่อาเซียน แต่เชื่อภูมิภาคยังแข็งแกร่งดึงดูดนักลงทุนโลก อาเซียนยังเป็นจุดหมายลงทุนสำคัญ

ธนาคารเอชเอสบีซีเผยแพร่บทวิเคราะห์เศรษฐกิจเอเชีย โดย อิเนส แลม นักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคเอเชีย และ เฟรดเดอริค นอยแมนน์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์และหัวหน้าฝ่ายวิจัยประจำภูมิภาคเอเชีย ระบุว่า

แม้อาเซียนจะดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ได้อย่างต่อเนื่อง แต่ความเคลื่อนไหวของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ อาจสร้างแรงกดดันต่อภูมิภาค เนื่องจากมีความพยายามผลักดันให้ประเทศคู่ค้าและบริษัทอเมริกันย้ายฐานการลงทุนกลับไปยังสหรัฐฯ

รายงานชี้ว่า อาเซียนเป็น “ดาวเด่น” ของการลงทุนโลก โดย FDI ที่หลั่งไหลเข้ามาในปี 2567 มีมูลค่า 2.26 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 8.5% จากปีก่อนหน้า และสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ขยายตัวเพียง 3.7% ถือเป็นมูลค่าอันดับสองในประวัติศาสตร์ รองจากปี 2565 ที่มีมูลค่าเกือบ 2.31 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ข้อมูลของ UNCTAD สะท้อนว่า หากไม่นับเงินลงทุนที่ไหลผ่านประเทศกลางในยุโรป FDI โลกหดตัวต่อเนื่องทั้งปี 2566 และ 2567 ราว 11% แต่ในทางกลับกัน อาเซียนกลับทำผลงานโดดเด่น โดย FDI เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่านับตั้งแต่ปี 2555 ขณะที่ FDI โลกกลับลดลงใกล้ระดับเดียวกับปี 2555

  • ทรัมป์ดึงเม็ดเงินลงทุนกลับสหรัฐฯ อาเซียนเสี่ยงเสียฐานทุน

รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ทำข้อตกลงการค้ากับหลายประเทศ โดยกำหนดเงื่อนไขให้นำเงินหลายพันล้านดอลลาร์กลับไปลงทุนในสหรัฐฯ รวมถึงการใช้มาตรการภาษีและสิทธิประโยชน์ทางการคลังเพื่อจูงใจบริษัทอเมริกันย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ หากมาตรการเหล่านี้เป็นจริง อาเซียนอาจสูญเสียเม็ดเงินลงทุนราว 40% ของ FDI ที่ไหลเข้ามา
 

อย่างไรก็ดี เอชเอสบีซีชี้ว่า การย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐฯ ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากติดปัญหาต้นทุนสูง การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ และผลกระทบจากราคาสินค้าที่สูงขึ้นเมื่อรวมภาษีนำเข้า โดยผลสำรวจของ CNBC ต่อธุรกิจสหรัฐฯ 380 แห่งชี้ว่า ต้นทุนการผลิต เป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุด

  • แหล่งทุนกระจายหลากหลาย ลดการพึ่งพาสหรัฐฯ

แม้สหรัฐฯ จะยังคงเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน แต่สัดส่วนเงินลงทุนในปี 2567 ลดลงครึ่งหนึ่งจากปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม เม็ดเงินที่หายไปได้รับการชดเชยจากสหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ และการลงทุนระหว่างกันภายในอาเซียน

รายงานยังชี้ว่า การกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์อาจทำให้ภูมิภาคต้องแข่งขันกับสหรัฐฯ ในการดึงดูด FDI มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐฯ ได้รับคำมั่นจาก สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ว่าจะนำเงินลงทุนรวม 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กลับไปลงทุนในสหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็น 21% ของเม็ดเงินลงทุนทั้งหมดในอาเซียนปี 2567

  • จีน–ไต้หวันเติมแรงหนุนให้อาเซียน

แม้อาจเผชิญแรงกดดันจากนโยบายสหรัฐฯ แต่อาเซียนยังได้รับแรงสนับสนุนจากนักลงทุนรายใหญ่รายอื่น โดยเฉพาะจีนที่ยังคงเดินหน้ากระจายการลงทุนภายใต้โครงการ Belt and Road Initiative (BRI) และมองอาเซียนเป็นฐานสำคัญในการขยายธุรกิจ

ขณะเดียวกัน FDI จากไต้หวันเพิ่มขึ้นกว่า 200% เมื่อเปรียบเทียบช่วงปี 2565-2567 กับ 2560-2562 สอดคล้องกับ นโยบายมุ่งใต้ใหม่ (New Southbound Policy - NSP) ที่เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2559 และการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนเพื่อลดผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ

  • อาเซียนยังครองเสน่ห์ลงทุนโลก

เอชเอสบีซีสรุปว่า แม้นโยบายของทรัมป์อาจสร้างความผันผวนต่อทิศทางการลงทุนโลก แต่อาเซียนยังคงมี ปัจจัยดึงดูดที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นตลาดผู้บริโภคที่ขยายตัว เศรษฐกิจดิจิทัลที่เติบโต และการผลักดันข้อตกลงการค้าเสรีที่ช่วยเปิดกว้างการลงทุน

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า อาเซียนยังมีศักยภาพรักษาความเป็น จุดหมาย FDI อันดับต้นของโลก แม้ต้องเผชิญแรงแข่งขันจากสหรัฐฯ ที่เร่งดึงดูดเม็ดเงินลงทุนกลับประเทศก็ตาม