ทำไม ดอกเบี้ยสหรัฐ เสี่ยง 'ผ่อนคลาย' เกินไป ?

ทำไม ดอกเบี้ยสหรัฐ เสี่ยง 'ผ่อนคลาย' เกินไป ?

การตัดสินใจของเฟดเสี่ยงต่อการถูกแทรกแซงทางการเมืองจากฝ่ายบริหาร ซึ่งผลักดันให้มีการลดดอกเบี้ยที่รุนแรงและรวดเร็วกว่าที่ควรจะเป็น

KEY

POINTS

  • การตัดสินใจของเฟดเสี่ยงต่อการถูกแทรกแซงทางการเมืองจากฝ่ายบริหาร ซึ่งผลักดันให้มีการลดดอกเบี้ยที่รุนแรงและรวดเร็วกว่าที่ควรจะเป็น
  • การชะลอตัวของตลาดแรงงานอาจไม่ได้สะท้อนความต้องการจ้างงานที่ลดลง แต่เกิดจากปัญหาอุปทานแรงงานที่หายไปจากการย้ายถิ่นที่ลดลงอย่างมาก
  • ภาคเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น ยอดค้าปลีก ตลาดหุ้น และความเชื่อมั่นภาคบริการยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งไม่สอดคล้องกับความจำเป็นในการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย
  • ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อยังคงมีอยู่ และการที่เฟดถูกมองว่าขาดความเป็นอิสระจะทำให้การจัดการกับแรงกดดันด้านราคาในอนาคตทำได้ยากและมีประสิทธิภาพน้อยลง

เช้าวันนี้คณะกรรมการนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ธ.ค. มาอยู่ที่ระดับ 4 – 4.25% ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่อง “การสูญเสียอิสระ” ในการกำหนดนโยบายทางการเงินของเฟดเอง จากการแต่งตั้งคนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างสตีเฟน มิแรน เข้ามานั่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการเรื่องการกำหนดอัตราดอกเบี้ย

ในการประชุมเฟดที่ผ่านมา หนึ่งในคณะกรรมการเฟดอย่าง ลิซ่า คุก สามารถเข้าร่วมการประชุมได้เพราะศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราวไม่ให้คำสั่งปลดของประธานาธิบดีทรัมป์มีผลบังคับใช้ ในขณะที่คนจากทำเนียบขาวอย่างมิแรน ก็ได้เข้าร่วมประชุมหลังจากมีคำสั่งแต่งตั้งแบบเฉียดฉิวก่อนการประชุมเพียงไม่นาน (และหลังจากประชุมเสร็จก็รีบกลับไปทำเนียบขาวทันที)

ด้านบทวิเคราะห์ “America’s monetary policy risks getting too loose” ของสำนักข่าวดิอีโคโนมิสต์ ระบุว่า สถานการณ์เช่นนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นเพราะการทำงานของเฟดควรเป็นอิสระและปราศจากการแทรกแซงจากฝ่ายบริหารโดยสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้น ในระหว่างประชุม มิแรนต้องการให้มีการลดอัตราดอกเบี้ยแรง 0.5% ในการประชุมครั้งนี้และมองว่าควรมีการลดในลักษณะนี้อีกถึงสามครั้งภายในสิ้นปี ซึ่งเป็นแนวทางที่ “ผ่อนคลาย” มากกว่าคณะกรรมการที่มีแนวทางแบบผ่อนคลายสุดโต่งรองจากเขาอีกด้วย

ทำไม ดอกเบี้ยสหรัฐ เสี่ยง 'ผ่อนคลาย' เกินไป ?

บทวิเคราะห์ของดิอีโคโนมิสต์ ระบุว่า ความเห็นของมิแรนมีน้ำหนักมาก แม้จะเป็นเสียงส่วนน้อย อย่างไรก็ตาม สุดท้ายคณะกรรมการลงมติเสียงเฉียดฉิวให้มีการลดดอกเบี้ยอีกอย่างน้อยสองครั้งในปีนี้และหนึ่งครั้งในปีหน้า ซึ่งตรงกับสิ่งที่ตลาดการเงินคาดหวัง แต่หากเฟดทำตามแรงกดดันให้เร่งผ่อนคล้ายนโยบายทางการเงินจริง อาจเป็นความผิดพลาดร้ายแรง

ตลาดแรงงานอ่อนแอ เพราะ 'ผู้อพยพหาย'

ทั้งนี้ เหตุผลหลักที่สนับสนุนการลดดอกเบี้ยล่าสุดมาจากตลาดแรงงาน ข้อมูลทางการชี้ว่า "จำนวนตำแหน่งงานใหม่" ที่เปิดอยู่ลดลงมาอยู่ที่เพียง 27,000 ตำแหน่ง จากที่เคยสูงถึง 123,000 ตำแหน่งในช่วงต้นปี ทำให้หลายคนมองว่าตลาดแรงงาน (ซึ่งเป็นมาตรวัดความร้อนแรงของเศรษฐกิจสหรัฐ) กำลังอ่อนแรง

แต่บทวิเคราะห์ชิ้นนี้ระบุว่า แท้จริงแล้ว ตลาดแรงงานอ่อนแออาจเป็นที่ “ฝั่งอุปทาน” มากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพิจารณาจาก การย้ายถิ่นที่ลดลงอย่างมากในยุครัฐบาลทรัมป์ บางงานวิจัยคาดว่าปีนี้การย้ายถิ่นสุทธิมีแนวโน้มติดลบ โดยสาเหตุที่สำคัญคือเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองรายงานว่า ในเดือนก.ค. มีผู้อพยพผิดกฎหมายเพียง 8,000 คนที่ชายแดนใต้เมื่อเทียบกับ 100,000 คนในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และกลุ่มคนเหล่านี้ในสมัยก่อนคือแรงขับสำคัญในตลาดแรงงาน 

"ดังนั้น การชะลอตัวของการจ้างงานจึงไม่ได้สะท้อนถึงความต้องการแรงงานที่ลดลงอย่างแท้จริงแต่สะท้อนว่าบรรดาผู้อพยพซึ่งเป็นหัวใจหลักของตลาดแรงงานเข้ามาในสหรัฐได้น้อยลง"

 

เศรษฐกิจยังร้อนแรงอยู่ดี

ภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ไม่แสดงสัญญาณของการชะลอตัวแต่อย่างใด ยอดขายปลีกยังคงแข็งแกร่ง ความเชื่อมั่นในภาคบริการอยู่ในระดับดี และที่สำคัญคือตลาดหุ้นสหรัฐยังคึกคัก ราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดด้วยความหวังเกี่ยวกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยเครดิตอยู่ในระดับต่ำ และตลาดคริปโทฯ ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง

นักลงทุนประเมินมูลค่าหุ้นในระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงยุคดอทคอมบูม เมื่อเทียบกับผลกำไรของบริษัทต่างๆ สภาพการณ์ดังกล่าวไม่สอดคล้องกับมุมมองของเฟดที่ว่า "นโยบายการเงินยังคงเข้มงวดอยู่"

บทวิเคราะห์ของดิอีโคโนมิสต์ อธิบายต่อว่า เฟดยังต้องกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 2.6% ตามตัวชี้วัดที่เฟดใช้ และมีแนวโน้มสูงขึ้นเนื่องจากมาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์ และแม้ว่าผลกระทบจากภาษีอาจเป็นเพียงชั่วคราว (เพราะทรัมป์ไม่สามารถขึ้นภาษีไปเรื่อยๆ ได้) แต่การที่เฟดถูกแทรกแซงทางการเมืองมากขึ้นทำให้การจัดการกับแรงกดดันด้านราคาเป็นเรื่องที่ซับซ้อนขึ้น เนื่องจากธนาคารกลางที่ถูกมองว่าไม่สามารถเป็นอิสระจากการเมืองได้ จะทำให้เครื่องมือดอกเบี้ยที่มีอยู่มีประสิทธิภาพน้อยลงและจัดงานเงินเฟ้อได้ยากขึ้น

ด้วยเหตุผลข้างต้น บทวิเคราะห์ของดิอีโคโนมิสต์จึงสรุปว่า เวลานี้จึงเป็นช่วงที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งในการผ่อนคลายนโยบายการเงินมากเกินไป

ท้ายที่สุด ลองจินตนาการถึงความปั่นป่วนที่จะเกิดขึ้นหากธนาคารกลางต้องปรับทิศทางและขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรงภายใต้การนำของทรัมป์ การลดดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวยังถือเป็นการป้องกันความเสี่ยงที่สมเหตุสมผล หากตลาดแรงงานอ่อนแอลงมากกว่าที่คาด แต่หากเฟดดำเนินการลดดอกเบี้ยต่อเนื่องตามความต้องการของฝ่ายรัฐบาล อาจนำไปสู่ความผิดพลาดที่ธนาคารกลางไม่สามารถรับมือได้ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวมในระยะยาว