“เฟทโก้” จ่อพบ รมว.คลัง เสนอแผนปฏิรูปเศรษฐกิจ เรียกความเชื่อมั่นตลาดทุน

“เฟทโก้” จ่อพบ รมว.คลัง  เสนอแผนปฏิรูปเศรษฐกิจ  เรียกความเชื่อมั่นตลาดทุน

“กอบศักดิ์” ชี้เฟทโก้ เตรียมยื่นหนังสือเข้าพบ รมว.คลัง คนใหม่ ยื่นข้อเสนอเร่งด่วนหวังปฏิรูปเศรษฐกิจ เรียกความเชื่อมั่นตลาดทุน ชงต่ออายุเอสเอสเอฟ เพิ่มงบบีโอไอ 3 เท่า หนุนการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน

KEY

POINTS

  • เฟทโก้ เตรียมยื่นหนังสือขอเข้าพบ รมว.คลัง เสนอแผนปฏิรูปเศรษฐกิจ เร่งมาตรการกระตุ้นการลงทุนในประเทศ
  • เสนอให้เพิ่มงบประมาณ และบุคลากรให้แก่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) 3 เท่า เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ พร้อมผลักดันโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น EEC และท่าเรือระนอง
  • เสนอให้เพิ่มงบประมาณเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เป็น "ควิกวิน" และสนับสนุนกระทรวงพาณิชย์ในการหาตลาดส่งออกใหม่ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐ
  • พร้อมผลักดันแนวคิดบัญชีเงินออมเพื่อการลงทุนในหุ้น (TISA) ที่ให้สิทธิลดหย่อนภาษี และต่ออายุกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF)

ท่ามกลางบรรยากาศการเมืองที่กำลังเปลี่ยนผ่าน “สภาธุรกิจตลาดทุนไทย” (FETCO) ภายใต้การนำของ ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ในนามประธาน FETCO ประกาศเตรียมเข้าพบรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมกับ 7 องค์กรตลาดทุน เพื่อหารือแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจ และตลาดทุนไทย ทั้งในเชิงโครงสร้าง และมาตรการเร่งด่วน

7 องค์กรตลาดทุน จ่อหารือ “คลัง” ถกแผนดึงเชื่อมั่น 

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL และประธานสภาตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า หากรัฐบาลใหม่ได้รับการประกาศแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ ทางสภาตลาดทุนพร้อมด้วยสมาชิกทั้ง 7 องค์กร

ประกอบด้วย สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย (TIA) สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย (TLCA)

โดยเตรียมยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการทันที เพื่อขอเข้าพบ “ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรองนายกรัฐมนตรี เพื่อขอหารือในการหาแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจ และตลาดทุนไทยในด้านต่างๆ

โดยข้อเสนอหลักๆ ที่จะนำเข้าหารือคือ แม้ว่าจะเป็นรัฐบาลระยะสั้น แต่มองเป็นโอกาสในการปฏิรูปเศรษฐกิจให้เป็นรูปธรรมอย่างมีเสถียรภาพ พร้อมกับผลักดันนโยบายเร่งด่วนให้สามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ที่จะผลดีต่อประเทศไทย หลักๆ

คือ อยากให้ภาครัฐผลักดันแนวคิด TISA (Thailand Individual Savings Account) ที่เป็นบัญชีเงินออมเพื่อการลงทุนในหุ้น ที่เปิดให้นักลงทุนที่ซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้สิทธิลดหย่อนภาษี โดยTISA เป็นเครื่องมือที่ถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนลงทุนในหุ้นไทยมากขึ้น

ขณะที่แพ็กเกจ TISA ที่ทาง FETCOได้เตรียมเสนอกับทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นั้นจะรวมในเรื่องของการต่ออายุกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยาว (Super Saving Funds : SSF) ที่ครบกำหนดอายุในปี 2568 ด้วย

โดยข้อมูลทุกอย่างที่จะนำเสนอ ทาง FETCO และสมาชิกได้จัดเตรียมข้อมูลไว้เรียบร้อยแล้ว มั่นใจ ท่านรัฐมนตรี เข้าใจพร้อมผลักดันเพื่อเป็นประโยชน์ต่อประเทศในวงกว้าง หากเดินหน้าได้ตามแผนส่งผลดีต่อตลาดทุนไทยได้แน่นอน

มาตรการดึงนักลงทุนต่างชาติลงทุนไทยเพิ่ม

นอกจากนี้ มองว่า สิ่งที่จะเสนอเพื่อขับเคลื่อนประเทศคือ อยากเห็นรัฐบาลเพิ่มทรัพยากรทั้งด้านงบประมาณ และบุคลากรให้กับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment หรือ BOI) อย่างน้อย 3 เท่า เพื่อดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น

โดยยอดการลงทุนผ่าน BOI ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มีมูลค่าสูงถึง 1 ล้านล้านบาท เนื่องจากมองว่าขณะนี้ถือเป็นโอกาสทองของประเทศไทย ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่คับขัน และความท้าทายจากโลก

เช่นเดียวกันการผลักดันการขับเคลื่อนโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและ EEC เพื่อให้สามารถดึงดูดการลงทุนได้มากขึ้น รวมถึงโครงการระยะสั้นที่มองว่าต้องทำต่อเนื่อง ทั้ง โครงการคนละครึ่ง และโครงการใน EEC ที่ยังติดขัดอยู่ ให้เดินหน้าไปได้ในช่วง 8 เดือนข้างหน้า

นอกจากนี้ อยากเห็นรัฐบาล มุ่งเน้นไปที่การพัฒนา “ท่าเรือตะวันตก” เพียงโครงการเดียว หรืออย่างน้อยที่สุดคือ การทำท่าเรือเบื้องต้นที่ระนอง เพื่อเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญในการส่งสินค้าไปยังประเทศอินเดีย ที่จะเป็นตลาดแห่งอนาคต

ดังนั้นหากสามารถเชื่อมโยงจากทั่วประเทศ เช่น เชียงราย หนองคาย แหลมฉบัง ไปยังท่าเรือระนองได้อย่างมีประสิทธิภาพโครงการนี้จะมีความสำคัญอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อยากผลักดัน และเสนอต่อรมว.คลัง นี้ด้วยคือ การส่งเสริมการท่องเที่ยว และการค้า (กระทรวงพาณิชย์)โดยมองว่าควรเพิ่มงบประมาณให้กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพราะมองเห็นโอกาสในการดึงดูดนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะจากจีน อินเดีย ตะวันออกกลาง และยุโรป

ซึ่งจะเป็น “ควิกวิน” ที่สามารถทำได้เลยในช่วงปลายปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญอย่างมากหลังจากนี้
นอกจากนี้ ยังเสนอให้เพิ่มงบประมาณให้กับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อช่วยในการแสวงหาตลาดใหม่ๆ

สำหรับสินค้าส่งออกของประเทศไทยได้ เพราะเราไม่ควรพึ่งพาตลาดสหรัฐมากเกินไป และการตั้งเป้าหมายที่จะ ลดสัดส่วนการพึ่งพาสหรัฐ จาก 20% ในปัจจุบันให้เหลือต่ำกว่า 10% ภายใน 3 ปีข้างหน้า และควรหันไปเพิ่มการส่งออกไปยังอาเซียน อินเดีย ยุโรป และแอฟริกาให้มากขึ้น ที่ถือเป็นตลาดที่มีโอกาสสูง

ทั้งนี้ มองว่าการฟื้นความเชื่อมั่นนั้น สิ่งที่รัฐบารลชุดนี้ต้องทำคือ การสื่อสารข่าวดี และสร้างความเชื่อมั่น เพื่อสื่อสารข่าวดีของไทยออกไปสู่โลกภายนอกอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการลงทุนจากต่างประเทศที่หลั่งไหลเข้ามา ซึ่งเป็นความสำเร็จที่ชัดเจนที่สุดในช่วงนี้ และควรสื่อสารเรื่องการส่งออกที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

หุ้นไทยพุ่ง 200 จุด สะท้อนโลกกำลังสนใจไทยมากขึ้น 

สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นไทย ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 200 จุด ที่ผ่านมา ปัจจุบันมาอยู่ที่กว่า 1,300 จุด ถือเป็นระดับที่ดี สะท้อนว่าโลกกำลังให้ความสนใจประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ และนักลงทุนต่างประเทศเริ่มมีความมั่นใจในตลาดทุนไทย

แต่ทั้งนี้ สิ่งที่ ตลาดทุนกำลังรอคอยจากรัฐบาลใหม่ มี 4 ด้านหลัก

  • 1.ทีมที่ใช่ คือ ทีมเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาถือว่าสร้างความเชื่อมั่นได้ในระดับหนึ่ง และถือเป็นอันดับ 1 ในสายตานักลงทุน
  • 2.นโยบายที่ใช่ โดยตลาดกำลังรอดูว่ารัฐบาลจะนำเสนอนโยบายอะไร และมีแผนจะทำอะไรบ้าง
  • 3.การกระทำที่ใช่ ไม่ใช่แค่พูด แต่ต้องทำได้จริง และแสดงให้เห็นถึงความคืบหน้า ยกตัวอย่างเช่น การทำท่าเรือแบบชั่วคราวที่ระนองก่อน เพื่อแสดงให้เห็นว่ามีความพร้อมในการเชื่อมโยงการขนส่งไปยังอินเดีย
  • 4.การสื่อสารที่เป็นระบบ และมีประสิทธิภาพ บางครั้งแม้จะทำได้ดี แต่หากสื่อสารไม่เป็น ก็อาจไม่เกิดประโยชน์

ทั้งนี้มองว่า การมาของรัฐบาลใหม่ แม้มีกรอบเวลาเพียง 4 เดือน แต่สุดท้ายมองว่าระยะเวลา ตั้งแต่การตั้ง ครม. จนไปสู่การทำงานของรัฐบาล และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คาดว่าจะใช้เวลาเบ็ดเสร็จเกือบ 9 เดือน ถึงแม้จะเข้ามาในช่วงสั้นๆ แต่อยากเห็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อเนื่อง และมองว่าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ที่มาจากคนนอกถือว่าเป็นภาพที่ดี ที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน และนักลงทุนได้

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์