4 กลยุทธ์ปรับพอร์ตอริยทรัพย์ ขับเคลื่อนกิจการชีวิต

หลายคนอาจทุ่มเทเวลาและพลังงานเพื่อสร้าง “พอร์ต” ที่เป็นเงิน ทรัพสินย์ ตำแหน่งหน้าที่ การยอมรับในสังคม และเทรนด์ล่าสุดคือสุขภาพกาย โดยคาดหวังผลตอบแทนในรูปแบบของความมั่นคงและความสุข
KEY
POINTS
- กลยุทธ์ที่ 1: วิเคราะห์สถานะและระบุปัญหา (ทุกข์) โดยทำความเข้าใจองค์ประกอบของ "กิจการชีวิต" คือ ขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) และยอมรับ "สภาวะตลาด" ที่ไม่แน่นอน คือ ไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เพื่อมองเห็นปัญหาหรือความทุกข์ตามความเป็นจริง
- กลยุทธ์ที่ 2: วิเคราะห์สาเหตุเชิงลึกของปัญหา (สมุทัย) เพื่อค้นหาต้นตอที่แท้จริงของความทุกข์ ซึ่งก็คือ "ตัณหา" หรือความอยากในรูปแบบต่างๆ เปรียบเสมือนการทำ Root Cause Analysis เพื่อแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ
- กลยุทธ์ที่ 3: กำหนดเป้าหมาย (นิโรธ) โดยตั้งเป้าหมายสูงสุดของกิจการชีวิตให้ชัดเจน
ในโลกธุรกิจ เราคุ้นเคยกับการวางกลยุทธ์ วิเคราะห์ตลาด จัดสรรทรัพยากร และวัดผลด้วยตัวชี้วัด (KPIs) เพื่อขับเคลื่อนกิจการให้สร้างผลกำไรสูงสุดจนสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง แล้วสำหรับ “กิจการชีวิต” ของเราล่ะครับ ได้มีการวางกลยุทธ์รอบด้านและมีประสิทธิภาพแบบนี้หรือไม่?
หลายคนอาจทุ่มเทเวลาและพลังงานเพื่อสร้าง “พอร์ต” ที่เป็นเงิน ทรัพสินย์ ตำแหน่งหน้าที่ การยอมรับในสังคม และเทรนด์ล่าสุดคือสุขภาพกาย โดยคาดหวังผลตอบแทนในรูปแบบของความมั่นคงและความสุข แต่จากกระแสการเปลี่ยนแปลง (Disruption) ที่ยิ่งยุคสมัยผ่านไป เราได้เห็นภาพของ “อนิจจัง” หรือความไม่แน่นอนที่ชัดเจนและรวดเร็วยิ่งขึ้น พอร์ตทั้งหมดนี้ที่เหมือนจะมั่นคง สามารถผันผวนและเสื่อมค่าลงได้ทุกเมื่อ
ในขณะที่พระพุทธเจ้าได้ชี้เป้า “พอร์ตอริยทรัพย์” เพราะเป็นสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมค่าตามกาลเวลา ได้ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) สูงสุดในระยะยาว คือปัญญา จนสามารถลดความเสี่ยงหรือออก (Exit) จากทุกข์และสังสารวัฏ โดยทุกคนสามารถเริ่มต้นได้จาก 4 กลยุทธ์นี้
1. วิเคราะห์สถานะหรือองค์ประกอบกิจการและสภาวะตลาด
ตรวจสอบและวิเคราะห์สถานะ หรือทำ Due Diligence กิจการชีวิต รวมถึงการประเมินสภาวะตลาดที่กิจการเราต้องเผชิญ
1.1. องค์ประกอบของกิจการ: ขันธ์ 5
องค์ประกอบของกิจการชีวิตก็คือ “ตัวเรา” ซึ่งแบ่งได้เป็น 5 ส่วน:
รูป (Form): สินทรัพย์ทางกายภาพ (Physical Assets) คือ ร่างกายของเราและวัตถุต่างๆ ที่เราเกี่ยวข้อง
เวทนา (Feeling): กระแสตอบรับ (Feedback) จากลูกค้า คือ ความรู้สึก “สุข-ทุกข์-เฉยๆ” ที่เกิดขึ้นเมื่อประสาทสัมผัสของเรากระทบกับสิ่งต่างๆ
สัญญา (Recognition): ฐานข้อมูล (Database) ของกิจการ คือ ความจำที่บันทึกเรื่องราวต่างๆ ไว้ สังขาร (Mental Formations): แผนกวิจัยและวางแผนกลยุทธ์ของกิจการ คือ ความคิดปรุงแต่ง เจตนา หรือความจงใจทางจิตทุกชนิตว่าจะทำ พูด คิด หรือตอบสนองต่อ (หรือก่อกรรมต่อ) อย่างไร
วิญญาณ (Consciousness): แผนกต้อนรับ คือการรับรู้ข้อมูลผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
หน้าที่ของเราในฐานะ CEO คือกำหนดทิศทางและบริหารองค์ประกอบของทั้ง 5 ส่วนนี้ ให้ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
1.2. สภาวะของตลาด: ไตรลักษณ์
เมื่อเข้าใจกิจการแล้ว ก็ต้องเข้าใจ “สภาวะตลาด” หรือกฎธรรมชาติที่ควบคุมทุกสิ่งอย่าง ไม่มีข้อยกเว้น หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งมี 3 ข้อ:
อนิจจัง (Impermanence): ความผันผวนของตลาด (Market Volatility) คือ ทุกสิ่งไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การเข้าใจสิ่งนี้ทำให้เราไม่ประมาท และพร้อมปรับตัวเสมอ ทุกขัง (Unsatisfactoriness): ความไม่สมบูรณ์ของตลาด (Market Imperfection) คือ ทุกสิ่งไม่คงทนอยู่แบบเดิม มีความไม่สมบูรณ์แบบในตัวเอง การเข้าใจสิ่งนี้ทำให้เรายอมรับความจริงของสภาวะนั้น และไม่ดิ้นรนรักษาสิ่งต่างๆ ไว้เกินความจำเป็น อนัตตา (Non-self): ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ (Uncontrollable Factors) คือ ทุกสิ่งไม่มีตัวตนแท้จริงที่เราบังคับได้ทั้งหมด การเข้าใจสิ่งนี้ทำให้เรารู้ว่าสิ่งใดที่เราไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริง และปล่อยวางจากการยึดมั่นถือมั่น
การบริหาร “ขันธ์ 5” ผ่านฉากทัศน์ “ไตรลักษณ์” ถือเป็นก้าวแรกในการดำเนินกิจการชีวิต เพราะทำให้เรารู้ว่ากำลังทำงานอยู่กับอะไร และภายใต้สภาวะแบบใด
2. กำหนดเป้าหมายและวางแผนเส้นทางสู่เป้าหมาย (Goal Setting & Roadmapping)
หลังจากเข้าใจกิจการและสภาวะตลาดแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการวางเส้นทางไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยไม่เสียเวลาหลงทาง ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ให้กรอบและขั้นตอน (Framework) ในการวิเคราะห์และวางแผนอย่างเป็นระบบด้วย อริยสัจ 4 ดังนี้
2.1. ระบุปัญหาของกิจการ (Problem Statement): ทุกข์
แผนการทำงานที่ดีต้องเริ่มต้นจากการระบุปัญหา (Pain Point) ที่องค์กรกำลังเผชิญให้ชัดเจนที่สุด “ทุกข์” คือการยอมรับความจริงตามข้อมูลที่เราได้จากการวิเคราะห์ว่ากิจการชีวิตที่ประกอบด้วยขันธ์ 5 นั้น โดยเนื้อแท้แล้วมีความไม่เที่ยง ต้องถูกบีบคั้น ควบคุมไม่ได้หมด และเผชิญกับความเสื่อมแน่นอน หรือความไม่สมบูรณ์ของขันธ์ 5 นี่ล่ะ ที่ทำให้เกิดทุกข์ การรู้ทุกข์จึงไม่ใช่การมองโลกในแง่ร้าย แต่คือมองเห็นปัญหาและการยอมรับสถานะของกิจการตามความเป็นจริง เพื่อหาทางแก้ไขต่อไป
2.2. วิเคราะห์สาเหตุเชิงลึกของปัญหา (Root Cause Analysis): สมุทัย
เมื่อระบุปัญหาได้แล้ว ผู้บริหารที่ดีจะไม่หยุดแค่การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่จะทำการวิเคราะห์เพื่อค้นหา “สาเหตุที่แท้จริง” (Root Cause) ของปัญหานั้น “สมุทัย” คือขั้นตอนการวิเคราะห์ที่ชี้ชัดลงไปว่า ปัญหาความทุกข์ทั้งหมดของกิจการชีวิตนั้น มีต้นตอมาจากอะไร เช่น สาเหตุจาก “ตัณหา” การอยากได้ในสิ่งที่ไม่มี อยากให้สิ่งที่มีอยู่ต่อไป หรือไม่อยากได้ในสิ่งที่มี เปรียบเสมือนกระบวนการที่ผิดพลาด คอยสร้างปัญหาให้องค์กรซ้ำแล้วซ้ำเล่า
2.3. กำหนดเป้าหมาย (Defining the Goal): นิโรธ
เมื่อรู้ปัญหาและสาเหตุแล้ว ก็ถึงเวลาตั้งเป้าให้ชัดเจน ว่าสภาวะที่เราเรียกว่าสำเร็จ หรือ “สภาวะที่ไร้ปัญหา” นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร “นิโรธ” คือการกำหนด “เป้าหมาย” หรือสภาวะที่ต้องการไปถึงของกิจการชีวิต เช่น สภาวะที่ปัญหาหรือทุกข์ได้รับการแก้ไขอย่างสิ้นเชิงเพราะกำจัดสาเหตุได้แล้ว สภาวะที่เป็นอิสระ สงบ และไม่ถูกครอบงำอีกต่อไป
2.4. แผนการปฏิบัติ (Action Plan): มรรค
เป้าหมายจะไปถึงได้ ต้องมี Action Plan ทั้ง Guideline และ Solution ที่สมบูรณ์ “มรรค” คือ แผนหรือแนวทางปฏิบัติ 8 ประการ ที่จะนำพากิจการชีวิตของเราจากจุดที่มีปัญหา (ทุกข์) แก้ไขสาเหตุ (สมุทัย) และไปถึงเป้าหมาย (นิโรธ) โดยครอบคลุมการพัฒนา 3 ด้านหลักคือ ปัญญา (Wisdom & Strategy), ศีล (Governance & Ethics), และ สมาธิ (Operation & Execution)
ในตอนต่อไป เราจะมาลงรายละเอียดของ Action Plan หรือมรรคทั้ง 8 ข้อ และเครื่องมือ (Tool) “สติปัฏฐาน 4” เพื่อปฏิบัติการให้ถึงเป้าหมายกันครับ







