‘เศรษฐพุฒิ’ เตือนฐานะคลัง ชี้เสี่ยงถูกหั่นเครดิต แนะติดตาม ‘ธุรกิจสีเทา’ กระทบค่าเงิน

“เศรษฐพุฒิ” ผู้ว่า ธปท.เตือนเสถียรภาพทางการคลัง ย้ำไม่แข็งแกร่งเหมือนอดีต รายจ่ายรัฐโตเร็วกว่ารายได้ เสี่ยงขาดดุลบานปลาย-หนี้สาธารณะพุ่ง สะท้อนความเปราะบางเศรษฐกิจ จี้รัฐบาลเร่งวางแผนระยะยาว แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง หากไร้ทิศทางชัดเจนเสี่ยงถูกลดเครดิตความน่าเชื่อถือ ชูเอกชนกลไกเป็นหลักดันเศรษฐกิจระยะถัดไป แนะติดตามธุรกิจสีเทากระทบค่าเงิน
KEY
POINTS
- ผว.แบงก์ชาติ ห่วง เสถียรภาพทางการคลัง รายจ่ายภาครัฐเติบโตเร็วกว่ารายได้ ซึ่งจะทำให้การขาดดุลสูงขึ้น หนี้เพิ่มขึ้น และเสี่ยงที่ประเทศจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ
- เงินบาทที่แข็งค่าและผันผวนรุนแรงเกินไป ซึ่งไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานและส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของประเทศ
- พบธุรกรรมที่ไม่สามารถระบุที่มาได้ (Error and Omission) ในดุลการชำระเงินที่สูงขึ้นผิดปกติ เสี่ยงมาจากธุรกิจสีเทาและเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อค่าเงิน
- ย้ำไทยเผชิญ ปัญหาเชิงโครงสร้างต่อเนื่ ห่วง ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาวชะลอตัวลง และรายได้ของประชาชนฟื้นตัวช้า หากไม่เร่งแก้ปัญหาโครงสร้าง
การดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ของ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ จะครบวาระวันที่ 30 ก.ย.2568 หลังจากทำงานในตำแหน่งมาจะครบ 5 ปี โดยเข้าร่วมกิจกรรม Meet the Press ครั้งสุดท้ายในตำแหน่ง “ผู้ว่าการ ธปท.” ก่อนครบกำหนดวาระในวันที่ 30 ก.ย.2568 โดยมีหลายประเด็นที่ผู้ว่าการ ธปท.ส่งสัญญาณเตือนถึงเศรษฐกิจไทย
ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวว่า หากมองระยะข้างหน้าภาคเอกชนต้องเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และภาครัฐต้องลดอุปสรรคการทำธุรกิจ ไม่สร้างปัญหา และหากมองไปข้างหน้าสิ่งที่ต้องดูแลและเป็นห่วง คือ เสถียรภาพการคลัง ความเสี่ยงจากภาคการคลังที่เป็นประเด็นต้องจับตามอง เพราะภาคการคลังไม่แข็งแกร่งเหมือนอดีต
รวมทั้งหากย้อนไปช่วงโควิด-19 เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ภาคการคลังต้องใช้ทรัพยากรค่อนข้างมากเพื่อพยุงเศรษฐกิจ และใช้กระสุนไปค่อนข้างมาก
ดังนั้น ควรรัดเข้มขัดเพื่อให้ฐานะการคลังกลับมาในรูปแบบสร้างเสถียรภาพระยะปานกลางและระยะยาวสูงขึ้น และหากดูรายจ่ายรัฐบาลเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา พบว่าเติบโตอยู่ที่ 4% ต่อปี แต่ฝั่งรายได้เติบโตไม่ถึงครึ่งหรือทำได้เพียง 1.7%
หากปล่อยตามเทรนด์ดังกล่าวการขาดดุลจะสูงขึ้นและหนี้เพิ่มขึ้น โดยการปล่อยทุกอย่างไปตามยถากรรมหรือเทรนด์เดิม ปัญหาจะยิ่งลาม และปัญหาความยั่งยืนทางการคลังจะยิ่งเป็นประเด็น แม้เรื่องนี้ยากที่จะทำให้เกิดผลทันที แต่ต้องเห็นภาพชัดเจนว่ามีแผนไปสู่ความยั่งยืนทางการคลัง เพราะเสถียรภาพทางการคลังเป็นพื้นฐานทุกอย่าง
รวมทั้งหากดูบอนด์ยิลด์ผ่านพันธบัตรระยะยาวของไทย 10 ปี ปัจจุบันอยู่ที่ 1.5% แม้สูงขึ้นหากเทียบกับก่อนหน้าที่ 1.2% แต่เป็นระดับไม่สูงหรือน่าตกใจว่าจะเกิดวิกฤติ แต่อย่าชะล่าใจและต้องมีแผนระยะยาวเพื่อรักษาความเชื่อมั่น
เพราะนอกจากตัวเลขที่เห็นคือภาระผูกพันที่มีอยู่ด้วย ดังนั้นหากมองไปข้างหน้าเสถียรภาพการคลังเป็นเรื่องต้องใส่ใจเพราะสะท้อนความเปราะบางเศรษฐกิจ
“ปัญหาที่ต้องใส่ใจและน่าห่วง คือ เสถียรภาพทางการคลัง เข้าใจว่าแรงโน้มถ่วงจะนำไปสู่การใช้งบประมาณหรือใช้งบกระตุ้น แต่ต้องใช้อย่างระมัดระวังเพราะมีไม่มาก หากไม่มีแผนระยะยาวจะเสี่ยงประเทศจะถูกดาวน์เกรดประเทศได้”
เงินบาทแข็งค่ามาก-ผันผวนแรงเกินไป
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น 7% แข็งค่ากว่าประเทศภูมิภาค ปัจจัยหลักมาจากดอลลาร์อ่อนค่าและปัจจัยอื่น ซึ่งสวนทางปัจจัยพื้นฐานเนื่องจากประเทศที่ทำนโยบาย Tariffs เงินต้องแข็งค่า แต่กลายเป็นดอลลาร์อ่อนค่าทำให้ประเทศอื่นเจอปัญหาเดียวกัน
ทั้งนี้ ไทยเจอปัจจัยเฉพาะมาซ้ำเติม คือ ทองคำทำให้เงินบาทแข็งค่ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน เพราะค่าเงินบาทสัมพันธ์กับราคาทองคำ 0.7% ทำให้ไทยเจอหลายเด้ง
ดังนั้น มาตรการที่ ธปท.ที่ทำได้เป็นการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งรอบที่ผ่านมาลดลงสู่ 1.50% ในปัจจุบัน แม้ไม่ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าชัดเจน อีกด้านคือการเข้าไปดูแลเงินบาทไม่ให้ผันผวนเร็วและแรงเกินไปเพราะไทยเป็นประเทศส่งออก
แนะติดตามธุรกิจสีเทากระทบค่าเงิน
นอกจากนี้ ธปท.ได้ประชุมหารือผู้ค้าทองคำว่ามีวิธีใดลดแรงกดดันค่าเงินบาท ซึ่งมาตรการนโยบายภาษีเป็นหนึ่งในเรื่องที่พูดคุยกับผู้ค้าทอง แต่มาตรการที่ออกมาต้องดูความเหมาะสมและคงต้องใช้เวลา รวมทั้งมีช่องทางอื่นทำได้ เช่น การเทรดทองคำบนสกุลเงินดอลลาร์เพื่อลดค่าเงินแข็งค่า แต่กระทบหลายคนจึงต้องหามาตรการเหมาะสมสุด
ทั้งนี้ สิ่งที่ห่วงพบธุรกรรม (Error and Omission) หรือความคลาดเคลื่อนสุทธิที่เป็นส่วนต่างเกิดขึ้นทุกปี แต่ปีนี้อาจสูงกว่าทุกปี หากดูตัวเลขโฟลว์ทุกอย่างรวมกันในส่วนดุลชำระเงินปี 2567 อยู่ที่ 1.24 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งตัวเลขจริงออกมาเท่ากับทุนสำรองระหว่างประเทศ แต่ Error and Omission สูงขึ้น 1.52 หมื่นบ้านดอลลาร์ ซึ่งมาจากเหตุใดหรือมาจากธุรกิจสีเทายังบอกไม่ได้และเป็นสิ่งต้องติดตาม
ย้อนรอยวิกฤติช่วง 5 ปีผู้ว่าแบงก์ชาติ
ทั้งนี้ หากย้อนรอยการดำรงตำแหน่งผู้ว่า ธปท.ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่ต้องเผชิญมีหลายด้าน ประกอบด้วย
1.นับตั้งแต่ปี 2563-2564 ความท้าทายแรกวิกฤตโควิด-19 ที่เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญวิกฤติอย่างหนักหน่วงจากโควิด-19 ที่ถือเป็นวิกฤตที่หนักมาก โดยบทบาท ธปท.ต้องพยุงเศรษฐกิจและระบบการเงินให้ทำงานได้ผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงต่ำสุดประวัติการณ์ที่ 0.50%
และออกมาตรการพักชำระหนี้ การเลื่อนการชำระหนี้ได้ชั่วคราว เพื่อบรรเทาภาระและรักษาสภาพคล่องในช่วงเวลาที่รายได้ลดลง
2.จากเงินเฟ้อสูงและสงครามในสงครามยูเครน (ประมาณ พ.ศ.2565) หลังจากที่เศรษฐกิจเริ่มคลี่คลายจากวิกฤตโควิด-19 แต่ยังฟื้นช้าจะไปฟื้นไม่เต็มที่และใช้เวลานานมากและยังต้องเผชิญกับช็อก คือสงครามยูเครน ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย และทำให้เงินเฟ้อขึ้นสูงถึง 7.9% ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดประวัติการณ์
3.ช่วงปี 2566-2567 ที่เป็นช่วงเสริมภูมิและวางรากฐาน จากปัญหาเชิงโครงสร้างรุนแรงขึ้น ส่งผลให้ศักยภาพเศรษฐกิจไทยเติบโตลดลง จึงต้องนำมาสู่การปรับนโยบายสมดุล โดยการเน้นวางรากฐานระยะยาว ทั้งการปรับดอกเบี้ยให้สมดุล ให้ยืดหยุ่น และรองรับความเสี่ยงได้ และมุ่งแก้หนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ควบคู่กับวางรากฐานภูมิทัศน์ภาคการเงินใหม่ ด้านดิจิทัลและความยั่งยืน
4.ความท้าทายปัจจุบันและปัญหาเชิงโครงสร้าง และการเผชิญลมต้านต่างๆ ทั้งจาก ศักยภาพการเติบโตช้า ศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของเศรษฐกิจที่ดูช้าลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านรายได้ของประชาชนที่ฟื้นตัวช้า
ดอกเบี้ย 1.5% ถือว่าเอื้อเศรษฐกิจ
สำหรับการดำเนินนโยบายการเงินโดยเฉพาะดอกเบี้ยมองว่า การปรับดอกเบี้ยมาอยู่ที่ 1.5% ถือว่าค่อนข้างต่ำ และเป็นอันดับ 4 ของโลก และหากดูพื้นที่การดำเนินนโยบายการเงิน (Policy Space) หาก ธปท.ลดอัตราดอกเบี้ยลงมากเกินไปหรือกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการรุนแรงเกินไปช่วงแรกที่เผชิญวิกฤติอาจขาดเครื่องมือในการรับมือกับวิกฤติในอนาคต
ดังนั้นการรักษาระดับอัตราดอกเบี้ย ผ่านการขึ้นอัตราดอกเบี้ยค่อยเป็นค่อยไป และไม่สุดโต่งเกินไป เป็นการสำรองเครื่องมือไว้สำหรับอนาคต ซึ่งเป็นการมองนโยบายในภาพรวมใหญ่และทิศทางที่ถูกต้อง
แนะรัฐบาลมองนโยบายระยะยาว
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ห่วงใย ยังคงเป็นเรื่องเสถียรภาพการคลัง โดยมองว่ารัฐบาลต้องอยู่ภายใต้กรอบของเสถียรภาพทางการคลังระยะยาว หากใช้มาตรการกระตุ้นที่ต้องใช้เงินจำนวนมากต้องมีแผนการชัดเจนในการสร้างรายได้เพิ่มเติม
เช่น การปรับโครงสร้างภาษี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ตลาดและบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่จำเป็นต้องมีแผนการจัดการหนี้เพื่อให้หนี้ลดลงในอนาคต
นอกจากนี้ ประเด็นระยะยาวควบคู่ระยะสั้นแม้จะเป็นรัฐบาลช่วงสั้นอาจต้องการทำแต่สั้น แต่การแสดงให้ประชาชนเห็นว่าใส่ใจระยะยาวด้วยจะช่วยสร้างความเชื่อมั่น การทำแต่เรื่องระยะสั้นอย่างเดียวมักจะได้ผลลัพธ์จำกัด
บทเรียนและข้อคิดจากการดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ
รวมทั้งจากการทำงานใน ธปท.มา 5 ปี ตระหนักดีว่าการเป็นผู้ว่าการธนาคารกลางต้องเผชิญความท้าทายและแรงกดดันมากมาย และยังยืนยันว่าหากย้อนเวลากลับไปก่อนรับตำแหน่ง “ก็ยังคงเลือกเป็นผู้ว่าการอยู่ดีเพื่อจะได้มาช่วยงาน”
สำหรับช่วงเวลาที่ยากลำบากสุดไม่ได้มองว่ามีจุดใดจุดหนึ่งที่หนักที่สุด แต่เป็นความรู้สึกที่หนักอึ้งต่อเนื่องยาวนานเหมือนสถานการณ์ “ไม่จบไม่สิ้น”
นอกจากนี้มีบางเรื่องที่เสียใจหรือคิดว่าทำได้ดีกว่านี้ หนึ่งในนั้นคือการทำมาตรการบางมาตรการที่ไม่สำเร็จตามคาด เช่น มาตรการแก้หนี้เรื้อรัง จากความหวังที่อาจช่วยคนที่มีปัญหาในการปิดหนี้ เพราะจ่ายดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้น แต่สุดท้ายแล้วคนกลับยังต้องการสินเชื่อใหม่มากกว่าการปิดหนี้เดิม
อีกเรื่องที่เสียดายเป็นการไม่ริเริ่มเรื่องให้เร็วขึ้นและหากย้อนเวลาจะกลับไปทำเรื่องนี้ให้มากขึ้น คือ การ Structural reforms เพื่อสร้างโอกาสให้เศรษฐกิจไทย มองว่าเป็นระบบนิเวศสำคัญและหากเริ่มเร็วจะไปได้ไกลกว่านี้
เดินหน้าสกัดบัญชีม้าช่วยผู้บริสุทธิ์
สำหรับปัญหาบัญชีม้าที่ทำให้เกิดการถอนเงินของประชาชนและพบว่าถอนเงินสดในบางสาขา ซึ่งเป็นผลมาจากความกังวลของประชาชนเกี่ยวกับบัญชีม้าและการถูกอายัดบัญชี ซึ่งต้องขออภัยที่มาตรการต่างๆ สร้างความเดือดร้อนและความไม่สะดวกให้กับประชาชนผู้สุจริตที่ทำมาค้าขายและต้องใช้เงินหมุนเวียน แต่กลับถูกระงับธุรกรรมหรือถูกอายัดบัญชี
ทั้งนี้ต้องขอให้ประชาชนนึกถึงหัวอกเหยื่อที่ถูกมิจฉาชีพหลอกลวงจนเงินหายไปทั้งชีวิต และมองว่าปัญหามิจฉาชีพวันนี้เหมือนมะเร็งที่หากปล่อยไว้จะแพร่กระจายและทำลายระบบ การจัดการปัญหานี้จึงจำเป็นต้องทำอย่างเด็ดขาด แม้จะส่งผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์บ้าง หากไม่มีการดำเนินการใดๆ ประเทศไทยอาจกลายเป็นสถานที่ที่สะดวกสำหรับมิจฉาชีพได้






