จับตากองทุนปรับพอร์ต 'ลงทุน’ บอนด์ยีลด์ ‘ดีดแรง’ ตลาดผันผวน

“ไทยบีเอ็มเอ-โบรกเกอร์” ยันแรงขาย “ตราสารหนี้ระยะยาว” จากกองทุนในประเทศ ดัน “บอนด์ยีลด์ไทย” พุ่งในช่วงระยะสั้น สะท้อนการปรับพอร์ตตามภาวะตลาด ไม่ใช่สัญญาณ “ฟันด์รัน”
จากกรณี “ตลาดตราสารหนี้ไทย” ถูกมองว่า เผชิญแรงขายทำกำไรจากกองทุนรวมภายในประเทศ ภายหลัง “อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล” (บอนด์ยีลด์) แตะระดับต่ำสุดในรอบที่ผ่านมา ส่งผลให้กองทุนในประเทศหลายแห่ง ทยอยขายตราสารหนี้ระยะยาวที่ถือไว้เพื่อเก็บกำไรท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ซึ่งแรงขายดังกล่าวส่งผลให้บอนด์ยีลด์ไทยปรับตัวขึ้นแรงในระยะสั้น ช่วง 4 วันมานี้นั้น ส่งให้ “มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ” (NAV) กองทุนดังกล่าวปรับตัวลง และผลตอบแทนปรับตัวลงนั้น อาจทำให้นักลงทุน ตกใจแห่ขายกองทุน (ฟันด์รัน) ที่เชื่อมโยงกับตราสารหนี้ระยาวหรือไม่นั้น
นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า แรงขายกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว ที่ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ไทยปรับตัวขึ้นในระยะสั้น 4 วันมานี้ ยังห่างไกลที่จะเกิดสถานการณ์ฟันด์รัน วานนี้ (16 ก.ย.68) บอนด์ยีลด์ไทยเริ่มกลับมาลดลงอีกครั้ง สะท้อนว่าแรงขายก่อนหน้าอาจเป็นเพียง “กระแสชั่วคราว” และการปรับพอร์ตของกองทุนเป็นเรื่องปกติในภาวะตลาดที่มีความผันผวน จากความไม่แน่นอนจากความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายดอกเบี้ยของเฟด
“การปรับขึ้นของยีลด์ไม่ได้เกิดจากการขาดทุนจริงในพอร์ตลงทุน แต่เป็นผลจากการปรับตัวของราคาตราสารหนี้ที่ทำให้ NAV ของกองทุนลดลงชั่วคราว ผู้ถือหน่วยลงทุนอาจเห็นกำไรลดลงจากช่วงที่ยีลด์อยู่ในระดับต่ำมาก แต่ไม่ได้สูญเสียเงินต้นหรือขาดทุนจริง”
ทั้งนี้ หลังจากจุดเริ่มต้นของการปรับขึ้นบอนด์ยีลด์ไทย ก่อนหน้านี้บอนด์ยีลด์ไทยอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบหลายปี และกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว (โดยเฉพาะของ บลจ. ที่ถือพันธบัตรไว้ตั้งแต่ช่วงบอนด์ยีลด์ต่ำได้รับผลตอบแทนสูงจากราคาบอนด์ที่ปรับขึ้น เมื่อบอนด์ยีลด์ไทยเริ่มมีแนวโน้มกลับขึ้น บลจ.บางแห่งจึงทยอยขายทำกำไรจากพอร์ตตราสารหนี้ระยะยาว จากความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายดอกเบี้ยของเฟด ยิ่งทำให้นักลงทุนระมัดระวังมากขึ้น
ทั้งนี้ NAV ของกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว ปรับลดลงตามราคาบอนด์ที่ลดลง นักลงทุนที่ถืออยู่อาจเห็นกำไรลดลงจากช่วงที่บอนด์ยีลด์ไทยต่ำมาก แต่จริงๆ แล้ว ยังไม่ใช่การขาดทุนที่แท้จริง และเป็นการปรับตัวลงระยะสั้น
“มองว่า นักลงทุนไม่ควรตื่นตระหนกกับการปรับลงของ NAV ในระยะสั้น หากถือกองทุนตราสารหนี้ระยะยาวเพื่อผลตอบแทนในอนาคต การเข้าใจกลไกของบอนด์ยีลด์ และผลกระทบต่อราคาตราสารหนี้ จะช่วยให้ตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น”
ทั้งนี้ ยอมรับว่าตลาดตราสารหนี้ไทยในปีนี้ยังมีโอกาสผันผวนต่อเนื่อง ขึ้นอยู่กับปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคทั้งใน และต่างประเทศ โดยเฉพาะทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของไทยและสหรัฐ แต่เรายังไม่พบความเคลื่อนไหวของฟันด์โฟลว์ที่ยังไม่แสดงสัญญาณแรงเก็งกำไรในตลาดตราสารหนี้ไทยในระยะนี้ ที่มีนัยสำคัญที่ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
“ฟันด์โฟลว์ต่างชาติ” ไหลเข้าแบบเบาบาง
แม้เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่ตลาดตราสารหนี้ไทยยังไม่พบสัญญาณชัดเจนว่าเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันค่าเงิน โดยกระแสเงินลงทุนจาก “ต่างชาติ” (ฟันด์โฟลว์) ที่ไหลเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ไทยในปีนี้ยังอยู่ในระดับเบาบาง และไม่ผิดปกติเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า
ข้อมูลตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (YTD) สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย พบว่า ยอดซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในตลาดตราสารหนี้ไทยอยู่ที่ประมาณ 35,000 ล้านบาท โดยมีการไหลเข้ามาอย่างโดดเด่นในช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดโลกเผชิญความผันผวนจากประเด็นนโยบายภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์เริ่มชัดเจนว่าผลกระทบไม่รุนแรงฟันด์โฟลว์ก็เริ่มไหลออก
กระทั่งในช่วงเดือนก.ย. มีสัญญาณการกลับเข้ามาบ้าง โดยเฉพาะในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมีเงินไหลเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ไทยราว 10,000 ล้านบาท รวมทั้งเดือนก.ย. อยู่ที่ประมาณ 12,000 ล้านบาท ถือว่าอยู่ในระดับปกติเมื่อเทียบกับยอดซื้อสุทธิทั้งปี และยังต่ำกว่ามูลค่าการถือครองตราสารหนี้ไทยของนักลงทุนต่างชาติที่ทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 800,000-900,000 ล้านบาท จากที่เคยแตะระดับ 1 ล้านล้านบาทในอดีต
ประมูลพันธบัตรใหม่ ธปท.- ดอลลาร์อ่อนหนุนเงินไหลเข้าบอนด์ไทย
ทั้งนี้ การไหลเข้าของฟันด์โฟลว์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สอดคล้องกับจังหวะการประมูลพันธบัตรระยะสั้นชุดใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกอบกับค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลง ส่งผลให้มีแรงจูงใจในการพักเงินในตลาดตราสารหนี้ไทยช่วงสั้น อย่างไรก็ตาม นางสาวอริยา ยังมองว่าเป็นระดับปกติ และไม่น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าอย่างมีนัยสำคัญ
บอนด์ยีลด์ทยอยปรับขึ้น สะท้อนแรงขายทำกำไร
นอกจากนี้ หากฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามามากจริง อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) ควรปรับลดลง แต่ในทางกลับกัน บอนด์ยีลด์ไทยกลับปรับตัวสูงขึ้น โดยพันธบัตรอายุ 5 ปี และ 10 ปี ปรับขึ้นราว 0.6-1% ตั้งแต่ต้นปี สะท้อนแรงขายทำกำไรของกองทุนในประเทศ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ตลาดคาดการณ์ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดดอกเบี้ยนโยบายหลายครั้งในปีนี้ แต่ในวานนี้ ปรับลดลงแล้ว เป็นปัจจัยชั่วคราว
ฟันด์โฟลว์ยังไม่สะท้อนการเก็งกำไร
นางสาวอริยา ระบุว่า ฟันด์โฟลว์ในตลาดตราสารหนี้ไทยในปีนี้ "ยังค่อนข้างนิ่ง" โดยมีบางช่วงที่เงินบาทแข็งค่ามาก จากต้นทุนดอลลาร์ถูกลง นักลงทุนต่างชาติจึงเข้ามาพักเงินระยะสั้น และมีการขายทำกำไรในช่วงที่บอนด์ยีลด์อยู่ในระดับต่ำ แต่ยังไม่เห็นแนวโน้มการเข้ามาเพื่อเก็งกำไรอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ แม้ต่างชาติจะปรับลดน้ำหนักการลงทุนพันธบัตรรัฐบาล ไทย และแนวโน้มฟันด์โฟลว์อาจไม่ได้เข้าตลาดตราสารหนี้ไทยมากนักในปีนี้ เนื่องจากในแง่การเติบโตของไทยไม่ได้ดึงดูด และบอนด์ยีลด์ไทยต่ำสุดในอาเซียน ปัจจุบันต่างชาติเคยถือบอนด์ไทย ทะลุ 1 ล้านล้านแต่ตอนนี้ลดลงเหลือ 9 แสนล้าน และฟันด์โฟลว์ค่อนข้างนิ่ง ไม่ได้มีอะไรหวือหวา
"เราก็มองว่า ประเด็นดังกล่าว ไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพตลาดตราสารหนี้ไทย เพราะก็ยังมีความต้องการซื้อบอนด์ในฝั่งนักลงทุนในประเทศอยู่มาก โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบัน และกองทุนThaiESG ทยอยเข้าซื้อ อยู่แล้ว"
โบรกเกอร์มองยังไม่เกิดฟันด์รัน กองทุนแค่ปรับพอร์ต
นายกรภัทร วรเชษฐ์ หัวหน้าสายงานวิจัย บล.กรุงศรี กล่าวว่า จากกระแสเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ในช่วงต้นปีนี้ ไหลเข้ามาใน “ตลาดตราสารหนี้ไทย” อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ไทยปรับตัวลงต่ำมาก พันธบัตรอายุ 10 ปี ต่ำกว่า1.3% หรือเฉลี่ยที่ระดับ 1.25% ทำให้นักลงทุนในประเทศ อย่างกองทุนปรับพอร์ตลดการถือครองพันธบัตรระยะยาว ซึ่งให้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่า สลับเปลี่ยนการลงทุนมายังสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ เช่น หุ้น
ขณะที่ตอนนี้ เมื่อบอนด์ยีลด์ไทยมาถึงจุดหนึ่ง เริ่มปรับตัวขึ้น ยังคงเห็นฟันด์โฟลว์เข้ามาต่อเนื่อง สะท้อนได้ว่า นักลงทุนต่างชาติยังเชื่อว่า บอนด์ยีลด์ไทย มีโอกาสปรับลงได้อีก ทำให้ตลาดตราสารหนี้ไทย ยังน่าสนใจ จากทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของไทย ยังมีโอกาสปรับลงได้อีก 2 ครั้ง หรืออาจถึง 3 ครั้ง
ดังนั้น มองว่า บอนด์ยีลด์ไทยที่ดีดตัวขึ้นในช่วง 4 วันมานี้ ไม่ได้เป็นปัจจัยลบ และไม่ได้มองว่าจะเกิดฟันด์รัน แต่อย่างใด แม้นักลงทุนในประเทศอาจจะขายทำกำไรออกมาบางส่วนเท่านั้น แต่ก็เห็นได้ว่า ความต้องการลงทุนในตลาดพันธบัตรรัฐบาล และแนวโน้มฟันด์โฟลว์ยังไหลเข้าได้ต่อได้
ส่วนเงินบาทแข็งค่าขึ้น จากสาเหตุใดนั้นน่าจะมาจากหลายๆ ส่วน ทั้ง หุ้น ตราสารหนี้ และทองคำ ซึ่งจริงๆ ต้องพิจารณารอบด้านในภาพรวม ว่า เงินที่เข้ามาตั้งแต่ต้นทางหรือปลายทาง มาในลักษณะใดบ้าง ไม่สามารถโทษได้ว่าเป็นเพราะสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง ซึ่งคาดว่าทาง ธปท. มีข้อมูลชี้ได้ คงต้องรอความชัดเจนที่ ธปท.กำลังศึกษาในเชิงลึกอยู่
“ตลาดต่างประเทศยังมองว่า ประเทศไทยยังมีโอกาสใช้นโยบายการเงินของไทยแบบผ่อนคลายได้อีกในระยะข้างหน้า เพื่อจำกัดดาวน์ไซด์เศรษฐกิจไทย ขณะที่ราคาสินทรัพย์ในประเทศ ยังอยู่ในโซนถูก เช่น ระดับราคาหุ้นยังอยู่ในระดับต่ำเทียบในอดีต และตลาดตราสารหนี้ ยังน่าสนใจ ทำให้เห็นยังมีฟันด์โฟลว์ทยอยเข้ามาอยู่"
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์






