‘สมาคมค้าทองคำ’ค้านเก็บภาษี หวั่นอุตสาหกรรม‘ถอยหลัง’

‘สมาคมค้าทองคำ’ค้านเก็บภาษี  หวั่นอุตสาหกรรม‘ถอยหลัง’

สมาคมค้าทองคำ ยันหาก เก็บภาษีทองแท่งออนไลน์ ดึงอุตสาหกรรมถอยหลัง-กระทบรายย่อย YLG เปิดอีกด้าน ทองคำทะลักเข้าไทย ยอดส่งออกยังตามไม่ทัน กดดันบาทอ่อนมากกว่าแข็ง 

KEY

POINTS

  • สมาคมค้าทองคำคัดค้านแนวคิดของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะเก็บภาษีการซื้อขายทองคำแท่งผ่านระบบออนไลน์
  • สมาคมฯ มีความกังวลว่ามาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบเชิงลบต่ออุตสาหกรรมทองคำโดยรวม ทำให้อุตสาหกรรมถดถอย และกระทบนักลงทุนรายย่อย
  • ผู้ประกอบการยืนยันว่าการแข็งค่าของเงินบาทไม่ได้เกิดจากการค้าทองคำ แต่มาจากปัจจัยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า และชี้ว่าไทยเป็นผู้นำเข้าทองคำสุทธิซึ่งควรทำให้บาทอ่อนค่าลง

วานนี้ (15 ก.ย.2568) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เรียกผู้ค้าทองหารือเพื่อหาแนวทางลดผลกระทบต่อเงินบาท จากธุรกรรมซื้อขายทองคำ เร่งสนับสนุนการซื้อขายทองในประเทศผ่านดอลลาร์ลดการแข็งค่าเงินบาท พร้อมจับตาการซื้อขายทองผ่านสกุลเงินบาท สกัดพฤติกรรมผิดกฏหมาย

นางสาวพิมพ์พันธ์ เจริญขวัญ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปีเงินบาทแข็งค่าขึ้น ประมาณ 7% เป็นการแข็งค่านำสกุลภูมิภาค จากทั้งดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลมากกว่าคาด และราคาทองคำที่ปรับเพิ่มต่อเนื่อง 

ดังนั้น ธปท. จึงเชิญสมาคมค้าทองคำหารือ เพื่อพิจารณาแนวทางลดผลกระทบจากการซื้อขายทองคำต่อค่าเงินบาท โดยสมาคมฯ เสนอแนวทางที่จะช่วยสนับสนุนการซื้อขายในประเทศให้เป็นเงินสกุลดอลลาร์มากขึ้น

ธปท. ยังขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการร้านทองยกระดับการติดตามการซื้อขายทองคำในสกุลเงินบาท โดยเฉพาะพฤติกรรมของนักลงทุนที่อาจส่งผลต่อค่าเงิน รวมทั้งระมัดระวังมิให้ธุรกรรมเกี่ยวข้องกับการกระทำที่ผิดกฎหมาย

ทั้งนี้ ธปท. ได้รับฟังความเห็นและขอให้สมาคมฯ และผู้ประกอบการร้านทองทำข้อเสนอแนวทางช่วยลดผลกระทบต่อค่าเงินเพิ่มเติม เพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

ค้านเก็บภาษีทองแท่ง หวั่นทำ “ธุรกิจถอยหลัง”

นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี ประธานกรรมการ บริษัท ห้างขายทอง จินฮั้วเฮง และนายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า จากกรณีที่ธปท.อยู่ระหว่างการพิจารณาเรียก “เก็บภาษีทองคำแท่ง” ที่ซื้อขายผ่านออนไลน์ หากเกิดขึ้นจริงจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมทองคำแน่นอน จากที่พยายามผลักดันเป็นศูนย์กลางทองคำและจิวเวอร์รี่ในอาเซียน และจะกระทบกับผู้ซื้อทองรายย่อยสะสมทองคำเพื่อการลงทุนและออมเงิน ถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ลดความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน 

“สมาคมฯ ยังต้องพิจารณาในรายละเอียดที่หารือกับธปท. ซึ่งเรายังยืนยันว่าการแข็งค่าของเงินบาท ไม่เกี่ยวข้องกับทองคำ แต่เป็นเรื่องของดอลลาร์ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์ที่สร้างความผันผวนในตลาดการเงินทั่วโลก” 

ยันผู้ประกอบการให้ความร่วมมือ 

นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG GROUP) กล่าวว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นไม่เกี่ยวกับการซื้อขายทองคำอย่างแน่นอน 

ส่วนกรณีนักเศรษฐศาสตร์ ต้องการให้ซื้อขายผ่านดอลลาร์อย่างเดียวไม่ต้องผ่านเงินบาท ไม่ต้องแลกเปลี่ยนถึงจะไม่กระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยน แต่ผลการศึกษายืนยันแล้วว่า "การส่งออกทองมีผลต่อค่าเงินบาทเพียงเล็กน้อย"

ปัจจุบัน ผู้ค้าทองคำหลายรายได้ร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ให้บริการซื้อ-ขายทองคำด้วยสกุลเงินดอลลาร์แก่นักลงทุน ผ่านการเปิดบัญชี e-FCD ซึ่งถือเป็นช่องทางทางซื้อ-ขายและลงทุนทองคำหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปีนี้

อีกทั้งดอลลาร์ยังคงอ่อนค่าจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), ความกังวลต่อความเป็นอิสระของเฟด, หนี้สาธารณะของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง, ความไม่แน่นอนด้านนโยบายของสหรัฐ ซึ่งจะทำให้กระแส Sell America และ De-Dollarization ดำเนินต่อไป เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เงินบาทยังคงแข็งค่าต่อไป

ดังนั้น แม้ทองคำจะซื้อขายผ่านดอลลาร์อย่างเดียวก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะสามารถชะลอการแข็งค่าของเงินบาทได้ เนื่องจากปัจจัยหลักอื่น ๆ ที่มีผลยังคงดำเนินต่อไป และข้อเสนอดังกล่าวอาจจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมทองคำ และช่องทางการออมของคนไทยอย่างมีนัยสำคัญ

ดังนั้น ข้อเสนอดังกล่าวอาจจะไม่ได้ส่งผลให้เงินบาทหยุดแข็งค่า แต่จะส่งผลต่อผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และรายย่อยทั้งในมิติของเศรษฐกิจและการจ้างงาน นอกจากนี้ การจำกัดช่องทางดังกล่าวอาจทำให้ผู้ลงทุนรายย่อยและผู้บริโภคเข้าถึงทองคำได้ยากขึ้น และอาจกระทบต่อความนิยมในการออมและลงทุนทองคำ

ไทยส่งออก “ทองคำ” มากสุด 

บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) รายงานว่า แม้กัมพูชาจะมีเหมืองทองในประเทศ หากแต่ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนของบริษัทต่างชาติ และหากบริษัทเหล่านั้นขุดทองคำได้ก็มักส่งออกไปหลอมเป็นทองคำแท่ง ทำให้กัมพูชาต้องนำเข้าทองคำเกือบทั้งหมด  โดยนำเข้าจากสิงคโปร์สูงที่สุดและรองลงมาคือ ไทย

ทำให้ไทยส่งออกทองคำไปกัมพูชามากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของอาเซียนมาเป็นระยะเวลาเกิน 10 ปี ในอันดับ 1-2 ของอาเซียนผลัดเปลี่ยนกับสิงคโปร์

ข้อมูลการนำเข้า-ส่งออก ทองคำ ของกรมศุลกากร ล่าสุดในเดือนก.ค. 2568 ระบุว่า สัดส่วนเฉลี่ยการส่งออกทองคำจากไทยไปกัมพูชา อยู่ที่ประมาณ 41.6% ของการส่งออกทองคำไทยไปอาเซียน

ขณะที่ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (เดือนม.ค.-ก.ค.) ส่งออกทองคำไปกัมพูชา 21,070 กก. ลดลง 12% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ยังคงเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน

ขณะที่ในช่วงมิ.ย.-ก.ค.การส่งออกทองคำของไทย 20,257 กก. “ลดลง” จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า -11.76%  และตั้งแต่เดือนม.ค.-ก.ค. การส่งออก อยู่ที่ 78,075 กก. เพิ่มขึ้น 31.68% 

แม้ปริมาณการส่งออกจะเพิ่มขึ้น  แต่ “อัตราการนำเข้าปีนี้สูงขึ้นยิ่งกว่า” โดยช่วงเดือน ม.ค.-ก.ค. อยู่ที่ 187,848 กก. เพิ่มขึ้น 82.53% 

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า ข้อมูล สะท้อนว่าไทยยังเป็นผู้นำเข้าทองคำสุทธิต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน หลังจากส่งออกทองคำสุทธิในปี 2562-2563  ซึ่งเป็นช่วงของการระบาดของ COCID-19 และที่น่าสนใจ  คือ 

1.ปริมาณการนำเข้าในปีนี้เติบโตในอัตราที่มากกว่าปริมาณการส่งออกเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว  

2. สัดส่วนส่งออก คิดเป็น 29.36% ของปริมาณการนำเข้า+ส่งออกทั้งหมด  ซึ่งถือว่าสัดส่วนการส่งออกมาแนวโน้มจะลดลง และ 3.สะท้อนว่าดีมานด์ทองคำของไทยยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง

ทั้งนี้ การที่ไทยนำเข้ามากกว่าส่งออกจะกดดันดุลการค้าให้ขาดดุลมากขึ้น ทำให้ต้องใช้เงินบาทแลกเป็นเงินตราต่างประเทศ (USD) เพื่อชำระการนำเข้า

ดังนั้น สัดส่วนที่เพิ่มขึ้นของการนำเข้าทองคำ เมื่อเทียบกับการส่งออกมีแนวโน้มกดดันให้เงินบาทอ่อนค่า มากกว่าหนุนให้แข็งค่า เนื่องจากไทยต้องใช้เงินตราต่างประเทศมากขึ้นในการซื้อทองจากต่างประเทศ ทำให้ดุลการค้าติดลบต่อเนื่อง

นายกฯ สั่ง ‘เอกนิติ’ ตรวจสอบส่งออกกัมพูชา 

ขณะที่ความเคลื่อนไหวของภาครัฐวานนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตรวจสอบข้อเท็จจริงการส่งออกทองคำไปกัมพูชาอย่างเร่งด่วน พร้อมย้ำว่า หากพบความผิดปกติหรือการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะดำเนินการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด เพื่อปกป้องเสถียรภาพเศรษฐกิจไทย