ทองคำพุ่งแตะระดับสูงสุดตลอดกาล ดอลลาร์อ่อน จับตาการประชุมเฟด

ราคาทองคำโลกพุ่งแตะระดับสูงสุดตลอดกาล ขณะที่ดอลลาร์อ่อนค่าและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลง นักลงทุนจับตาการประชุมเฟดคาดลดดอกเบี้ยลง 0.25% ในวันพุธ
รอยเตอร์ รายงานราคาทองคำโลกพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดตลอดกาลในวันจันทร์ (15 ก.ย. 68)โดยได้รับแรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ลดลง ขณะที่นักลงทุนต่างจับตาการประชุมสำคัญของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในสัปดาห์นี้ ซึ่งอาจกำหนดทิศทางของการประชุมในช่วงที่เหลือของปี
ราคาทองคำตลาดสปอต (Spot Gold) เพิ่มขึ้น 1.1% อยู่ที่ 3,680.80 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ณ เวลา 13:44 น. ตามเวลาฝั่งตะวันออกสหรัฐ (17:44 GMT) หลังจากแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3,685.39 ดอลลาร์สหรัฐในช่วงต้นตลาด ราคาทองคำแท่งปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 1.6% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาทองคำล่วงหน้าของสหรัฐฯ (Gold Futures) สำหรับการส่งมอบเดือนธันวาคม ปิดตลาดเพิ่มขึ้น 0.8% อยู่ที่ 3,719.00 ดอลลาร์สหรัฐ
ดัชนีดอลลาร์ (DXY) ลดลง 0.3% สู่ระดับต่ำสุดในรอบหนึ่งสัปดาห์ ทำให้ทองคำน่าสนใจยิ่งขึ้นสำหรับผู้ถือสกุลเงินอื่นๆ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานปรับตัวลดลงเล็กน้อย
ตลาดต่างค่อนข้างมั่นใจว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในวันพุธ ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธันวาคม โดยบางส่วนยังคงรอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.50% ตามข้อมูลของเครื่องมือติดตามเฟด FedWatch ของ CME
"ความคาดหวังว่าดอกเบี้ยจะถูกลดลง 0.25% ได้ถูกคาดการณ์ไว้แล้วในตอนนี้" ปีเตอร์ แกรนท์ รองประธานและนักกลยุทธ์อาวุโสด้านโลหะของ Zaner Metals กล่าว พร้อมเสริมว่าอาจมีการลดอัตราดอกเบี้ยอีกหนึ่งหรือสองครั้งก่อนสิ้นปีนี้
คาดทองคำทะลุ 3,700 เหรียญ/ออนซ์
เป้าหมายราคาทองคำขาขึ้นถัดไปอยู่ที่ 3,700 ดอลลาร์ ตามด้วย 3,730 ดอลลาร์ และ 3,743 ดอลลาร์ในระยะใกล้นี้ แกรนท์กล่าว ทองคำแท่งที่ไม่ให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ย มักถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงที่มีความไม่แน่นอนในวงกว้าง และมีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีในสภาพแวดล้อมอัตราดอกเบี้ยต่ำ
ธนาคารกลางสหรัฐฯ ประชุมภายใต้แรงกดดันที่ผิดปกติ โดยมีข้อพิพาทเรื่องผู้นำ และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผลักดันให้ตนเองมีอำนาจควบคุมนโยบายมากขึ้น วุฒิสภายังเปิดทางให้สตีเฟน มิรัน ที่ปรึกษาเศรษฐกิจของทรัมป์ เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการกำหนดอัตราดอกเบี้ยได้ทันเวลาเพื่อลงมติในวันพุธ
ไท หว่อง ผู้ค้าโลหะอิสระ กล่าวว่า รายงานในช่วงสุดสัปดาห์ที่ระบุว่าจีนอาจผ่อนคลายกฎเกณฑ์การนำเข้าและส่งออกทองคำ กระตุ้นการซื้ออย่างแข็งแกร่ง โดยอุปสงค์ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น
ข้อมูลเมื่อสัปดาห์ที่แล้วแสดงให้เห็นว่าดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วที่สุดในรอบ 7 เดือนในเดือนสิงหาคม ขณะที่ตัวเลขการจ้างงานล่าสุดชี้ให้เห็นถึงตลาดแรงงานที่อ่อนแอลง ซึ่งคาดว่าจะทำให้เฟดยังคงเดินหน้าลดอัตราดอกเบี้ยต่อไป
ด้านราคาโลหะเงินพุ่งขึ้น 1.1% แตะที่ 42.62 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ราคาแพลทินัมเพิ่มขึ้น 0.7% แตะที่ 1,400.77 ดอลลาร์ และแพลเลเดียมลดลง 0.3% แตะที่ 1,193.21 ดอลลาร์
อัปเดตราคาเช้านี้
บลูมเบิร์ก รายงานว่าราคาทองคำเพิ่มขึ้น 0.2% อยู่ที่ 3,686.39 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ณ เวลา 9:01 น. ตามเวลาสิงคโปร์ หลังจากเพิ่มขึ้น 1% ในวันจันทร์ ดัชนี Bloomberg Dollar Spot ทรงตัว ราคาโลหะเงินทรงตัวต่ำกว่าราคาสูงสุดในรอบ 14 ปีที่ทำไว้ในวันจันทร์ แพลทินัมปรับตัวลดลงเล็กน้อย และแพลเลเดียมปรับตัวสูงขึ้น
ราคาทองคำพุ่งขึ้นมากกว่า 40% ในปีนี้ แซงหน้าสินทรัพย์สำคัญๆ เช่น ดัชนี S&P 500 และเพิ่งทะลุจุดสูงสุดที่ปรับอัตราเงินเฟ้อแล้วซึ่งเคยทำไว้ในปี 1980 ความไม่แน่นอนด้านการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงดำเนินอยู่ ประกอบกับการซื้อจากธนาคารกลางและเงินทุนไหลเข้ากองทุนรวมดัชนีอีทีเอฟ (ETF) ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มแรงซื้อ ธนาคารโกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่าราคาทองคำอาจพุ่งสูงถึง 5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากพันธบัตรรัฐบาลที่ถือครองโดยเอกชนเพียง 1% ถูกเปลี่ยนไปลงทุนในโลหะมีค่า






