เตือนเร่ง ‘รีฟอร์มประเทศ’ หวั่นไทย ‘ติดหล่ม’ จีดีพีโตต่ำ

นักเศรษฐศาสตร์ เตือนไทยเร่งปฏิรูปโครงสร้างประเทศครั้งใหญ่ ก่อนเศรษฐกิจพัง “พิพัฒน์” ชูโมเดลลูกศรสามดอก เน้นปฏิรูปแรงงาน การศึกษา ลดอำนาจรัฐ “อมรเทพ” แนะเร่งขยายโครงสร้างพื้นฐานสู่ภูมิภาค ‘บุรินทร์‘ หวั่น ศก.ไทยติดหล่มโตช้า
KEY
POINTS
- บุรินทร์ ห่วงเศรษฐกิจชะลอตัวหรือ “ติดหล่ม” จึงเสนอให้เปิดเสรีเพื่อสร้างการแข่งขัน
- พิพัฒน์ ห่วงปัญหาการขาดแคลนแรงงานมีทักษะ และคุณภาพการศึกษาที่ตกต่ำ ซึ่งต้องเร่งปฏิรูปอย่างจริงจังเพื่อเพิ่มผลิตภาพ และขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
- อมรเทพ แนะต้องเร่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เร่งลงทุนสู่ภูมิภาค
แม้ประเทศไทยมีทางออกจากประเด็นทางการเมือง ได้นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขับเคลื่อนประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้ โดยเฉพาะนโยบายระยะสั้นมุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจเร่งด่วนในช่วงที่ประชาชนประสบความยากลำบากในการหารายได้เลี้ยงตัว
นักเศรษฐศาสตร์ออกมาเตือนว่า แม้เรื่องสั้นๆ เป็นสิ่งจำเป็น แต่ต้องทำเรื่องระยะยาว โดยเฉพาะการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ผ่านการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การปฏิรูปแรงงาน การเพิ่มผลิตภาพประเทศ รองรับการเติบโตระยะยาว ไม่เช่นนั้นประเทศไทยอาจถอยหลังลงคลอง เศรษฐกิจไทยอาจเติบโตต่ำกว่าศักยภาพลงเรื่อยๆ
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แนวทางแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศไทย เพื่อให้รัฐบาลใหม่สามารถขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวข้ามความท้าทาย และเติบโตได้อย่างยั่งยืน เริ่มจาก
1.การเปิดเสรีเพื่อสร้างการแข่งขันในตลาดต่างๆ โดยโจทย์สำคัญของรัฐบาลใหม่ คือ การเปิดเสรีให้เกิดการแข่งขันในหลายตลาดในประเทศไทย หากมีการผูกขาดจะส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว หรือ “ติดหล่ม” เช่น ภาคพลังงาน ประเทศไทยมีศักยภาพสูงจากแสงอาทิตย์ในการผลิตพลังงานสะอาด แต่ติดขัดด้วยข้อกฎหมายที่ทำให้การค้าขายไฟฟ้ายังไม่เสรี
ดังนั้นหากสามารถซื้อขายไฟฟ้าได้โดยตรงโดยไม่ผ่านตัวกลางที่เป็นภาครัฐก็จะทำให้เกิดการเติบโตอย่างรวดเร็ว ในการนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ ช่วยลดต้นทุน และส่งเสริมการลงทุนเพิ่มเติม และยังเปิดการแข่งขันให้เกิดเสรีมากขึ้นในตลาดไทยที่มีการผูกขาดนั้นเป็นโจทย์สำคัญที่สุด
2.การปฏิรูประบบราชการ รัฐบาลจำเป็นต้องปฏิรูประบบราชการโดยนำระบบ Digital Government มาใช้เพิ่มความโปร่งใส และใช้ AI เพื่อลดจำนวนบุคลากรแต่เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ
“ไทยต้องทำหลายด้าน หากไม่ดำเนินการ อันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยจะถูกลดทอนลง เนื่องจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือหลายแห่ง เช่น Moody’s ได้ส่งสัญญาณแล้วว่า หากรายได้ของประเทศไม่เพิ่มขึ้น และยังคงเน้นการใช้งบประมาณแบบประชานิยมต่อไป ความแข็งแกร่งของภาคการคลังซึ่งเคยเป็นจุดแข็งของไทยจะเริ่มถูกบั่นทอนลง”
3.การจัดเก็บภาษี รัฐบาลต้องออกนโยบายที่ทำให้ทุกคนถือเป็นหน้าที่ต้องยื่นภาษี แม้จะมีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องจ่ายภาษี การทำเช่นนี้จะทำให้รัฐบาลมีข้อมูล ซึ่งจะช่วยให้การจัดสวัสดิการตรงจุด ไม่ทับซ้อน ไม่สิ้นเปลืองงบประมาณ
นอกจากนี้ ควรจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เต็มเม็ดเต็มหน่วย ป้องกันการหลบเลี่ยง และอาจต้องพิจารณาขึ้นอัตราภาษี VAT ด้วย เนื่องจากภาระทางการคลังของประเทศเพิ่มสูงขึ้น
4.การทบทวนสวัสดิการ และการกระตุ้นเศรษฐกิจ ว่าการจ่ายสวัสดิการ และการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบใดที่จะคุ้มค่า โดยเป้าหมายคือ การได้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนไม่ใช่เพียงแค่การหว่านเงินจำนวนมากโดยไม่มีผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
5.การปฏิรูปภาคเกษตร ซึ่งมีแรงงานกว่า 30% ของประเทศ เช่น สนับสนุนให้แรงงานออกจากภาคเกษตรไปประกอบอาชีพอื่นๆ เพื่อให้มีรายได้ที่มั่นคง และเพิ่มขึ้น เนื่องจากรายได้ในภาคเกษตรปัจจุบันค่อนข้างต่ำ ไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงดูครอบครัว ควบคู่กับการทำให้การเกษตรมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคง
6.ปัญหาการเข้าสู่สังคมสูงวัย ที่รัฐบาลต้องหาแนวทางปรับเพิ่มอายุเกษียณ อาจเริ่มจากภาคเอกชนก่อน นอกจากนี้ รัฐบาลสามารถ สร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนอยากจ้างผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี หรือเกิน 55 ปี และภาครัฐเองก็สามารถนำผู้สูงอายุที่มีประสบการณ์ และพละกำลังมาช่วยงานในภาคสาธารณสุขหรือภาคการศึกษาได้
- ยึดโมเดล “ลูกศรสามดอก” ฟื้น ศก.
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน เป้าหมายหลักคือ เพิ่มการลงทุน และเพิ่มผลิตภาพ (productivity) ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจอยู่ในฐานที่แข็งแกร่ง
ดังนั้น นโยบายใดๆ ที่จะดำเนินการ ควรมีเป้าหมายเพิ่มการลงทุนในประเทศ เพิ่มผลิตภาพ และเพิ่มคุณภาพของแรงงาน โดยการออกแบบนโยบายเพื่อนำไปสู่การปรับโครงสร้างระยะยาว อาจต้องอิงจากแนวคิด “ลูกศรสามดอก” ที่ต้องมาพร้อมกัน ได้แก่ นโยบายการคลัง นโยบายการเงิน และสำคัญสุดคือ นโยบายการปฏิรูปเศรษฐกิจ
“นโยบายการคลัง และการเงินจะต้องเข้ามาช่วยซื้อเวลา เพื่อให้นโยบายการปฏิรูปเศรษฐกิจสามารถเกิดขึ้นได้ เพราะหากมีเพียงนโยบายปฏิรูปแต่ถูกถ่วงโดยนโยบายการเงินหรือการคลังที่ไม่เหมาะสม ก็จะไม่มีพื้นที่ให้นโยบายปฏิรูปทำงานได้เต็มที่”
ทั้งนี้ ประเด็นหลักของการปฏิรูปเศรษฐกิจที่ควรดำเนินการ คือ การปฏิรูปแรงงาน และการศึกษา การยกระดับคุณภาพแรงงาน ทำอย่างไรให้แรงงานมีทักษะที่แข่งขันกับผู้อื่นได้ ผ่านการรีสกิล และการปฏิรูปการศึกษา โจทย์นี้เป็นเรื่องใหญ่ ใช้เวลานาน แต่ต้องเริ่มทำทันที
โดยการปฏิรูปการศึกษา ควรพิจารณาว่างบประมาณที่ใช้เหมาะสมหรือไม่ และจะแก้ไขปัญหาคุณภาพการศึกษาโดยรวมแย่ลง
ได้อย่างไร หรือการแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานมีทักษะที่ไทยถูกมองว่าไม่มี “skilled worker” ที่เพียงพอ จึงต้องมีวาระแห่งชาติในการปฏิรูปการศึกษาอย่างจริงจัง เพื่อผลิตบุคลากรคุณภาพ และเพียงพอ ทั้งภาคการผลิต ภาคบริการ และทุกมิติ
- ลดอุปสรรคกฎหมาย-แก้ปัญหาคอร์รัปชัน
นอกจากนี้ ต้องปฏิรูปกฎระเบียบอย่างจริงจัง ลดอุปสรรคจากกฎหมาย แก้ไขกฎระเบียบต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน เช่น การใช้ regulatory guillotine เพื่อทำให้กฎระเบียบง่ายขึ้น
การแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก หากไม่ทำจะส่งผลเสียอย่างรุนแรงต่อภาครัฐ และภาคส่วนอื่นๆ
อีกทั้งควรลดบทบาทภาครัฐในบางส่วน และทำให้การใช้จ่ายเงินของรัฐมีประสิทธิภาพสูงสุด ควบคู่ส่งเสริมการแข่งขัน และดึงดูดการลงทุน แก้ไขปัญหาการผูกขาด และการกินรวบในตลาด ปรับปรุงนโยบายการแข่งขัน เพื่อดึงดูดการลงทุนจากใน และต่างประเทศ
“การปฏิรูปเหล่านี้อาจฟังดูเป็นเรื่องยาก และใช้เวลานาน อาจรู้สึกว่าทำไปแล้วไม่เห็นผลทันที แต่หากไม่เริ่มทำ ก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง วันนี้ทุกคนรู้ว่าต้องทำอะไร แต่ขาดความกล้าที่จะเริ่ม เพราะคิดว่าทำไปแล้วไม่คุ้มค่า หรือไม่เห็นผลทันที ทำให้เลือกที่จะไม่ทำดีกว่า ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาด้วยวิธีแจกเงินหรือเรียกร้องให้ธนาคารกลางลดดอกเบี้ย ซึ่งไม่ใช่คำตอบที่แท้จริง และไม่ยั่งยืน”
พร้อมกันนี้ควรต้องมีการจัดทำรายการของการปฏิรูป หรือ list of reforms และนำเสนอให้พรรคการเมืองต่างๆ นำมาใช้เป็นวาระในการแข่งขันกัน แทนแข่งขันกัน “แจกเงิน” ซึ่งไม่สามารถทำได้ตลอดไป พรรคการเมืองควรแข่งกันนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง
“วันนี้โจทย์เศรษฐกิจไทยหากไม่มีเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเติบโตที่ชัดเจน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นก็จะค่อยๆ แผ่วลงเรื่อยๆ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจระยะยาวอย่างยั่งยืนจึงจำเป็นต้องพึ่งพาการปฏิรูปโครงสร้างอย่างจริงจังมากกว่าพึ่งพามาตรการระยะสั้นเพียงอย่างเดียว”
- เร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสู่ภูมิภาค
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย มองว่าประเทศไทยมีสิ่งที่ต้องทำอีกมากในระยะยาวเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ แต่ยังไม่ได้ทำอะไรมากนัก
โดยหากดูภาพเศรษฐกิจไทย จีดีพีเติบโตระดับต่ำ และนักการเมืองมักจะมองเพียงระยะสั้น เช่น การแจกเงิน แม้ไม่ได้คาดหวังกับรัฐบาลที่อยู่เพียง 4 เดือนมากนัก แต่ก็หวังว่ารัฐบาลชุดนี้จะปูทาง และสานต่อจากรัฐบาลชุดเก่า มองไปข้างหน้า เพื่อไม่ให้ประเทศต้อง “อยู่เฉย”
โดยมาตรการระยะยาว เช่น เร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น โครงการรถไฟสายต่างๆ ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การลงทุนกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้ขาดโอกาสเชื่อมโยงหัวเมืองต่างๆ และการกระจายรายได้ที่ดี
“อยากเห็นการลงทุนระยะยาวที่เปิดโอกาสให้คนต่างจังหวัดได้เข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ด้วย เช่น โครงการรถไฟทางคู่เชื่อมโยงทั่วประเทศ หรือรถไฟความเร็วสูง เชื่อมโยงภูมิภาคต่างๆ โดยเน้นการขนส่งสินค้า บริการ และผู้คน รวมถึงการลงทุนถนน ท่าเรือ ท่าอากาศยาน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการขนส่ง เชื่อว่าประเทศไทยยังทำได้อีกมาก”
นอกจากนี้ ควรส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) แม้จะเดินหน้า FDI ไปบ้างแล้ว แต่ยังไม่เพียงพอ ไทยยังสามารถดึงดูดต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในจุดที่ต้องการได้มากกว่านี้
รัฐบาลชุดนี้ แม้จะอยู่ในระยะสั้น ก็ควรเดินหน้าการเจรจา FTA กับต่างประเทศเพื่อเปิดตลาดใหม่ๆ การเจรจาเรื่องการสวมสิทธิสินค้า เพื่อไม่ให้ประเทศไทยต้องย่ำอยู่กับที่ในระยะสั้น แต่ต้องประสานงาน และส่งต่อประเด็นเหล่านี้ไปยังรัฐบาลชุดต่อไปให้ได้
- ยึดโมเดลรีฟอร์มประเทศตาม Reinvent Thailand
ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงาน Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วันนี้การประคองเศรษฐกิจด้วยมาตรการระยะสั้น ผ่านการเงินการคลังอาจไม่เพียงพอ ภาครัฐ และเอกชนควรร่วมกันผลักดันการปฏิรูปโครงสร้าง (reform) อย่างจริงจัง
เช่นเดียวกับข้อเสนอแนะจาก กกร. หรือคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน ที่เสนอแนวทางการพัฒนาประเทศ ผ่านแพลตฟอร์ม Reinvent Thailand - A Platform for Sustainable Policy Execution เพื่อสร้างอนาคตประเทศ ถือเป็นแนวทางให้เกิดแรงขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน
แม้จะมีเม็ดเงินเข้ามา แต่การปฏิรูปกฎเกณฑ์ต่างๆ ของภาครัฐ ทั้งในส่วนของ stick and carrot ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่จะเข้ามาช่วยทำให้ธุรกิจแข็งแกร่ง และเดินหน้าต่อไปได้
สุดท้ายมองว่า ความท้าทายหลักของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ทั้งจากภาวะการเงินที่ตึงตัว ภาวะเงินฝืด และค่าเงินบาทที่แข็งค่า โดยได้เสนอแนะแนวทางแก้ไขทั้งในระยะสั้น และระยะยาว ตั้งแต่การปรับลดอัตราดอกเบี้ย การดูแลค่าเงินบาท การใช้เครดิตการันตี การสนับสนุน Soft Loan และ Transformation สำหรับเอสเอ็มอีไปจนถึงการปฏิรูปโครงสร้าง และการส่งเสริมการลงทุนของคนไทยในต่างประเทศอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างความสมดุล และความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจในระยะยาวเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







