‘ไทยพาณิชย์’ ปรับโครงสร้างใหญ่ ลดขนาดองค์กร-เพิ่มสปีดธุรกิจ

“ไทยพาณิชย์” เปิดแผนธุรกิจก้าวข้ามความท้าทาย “ธุรกิจแบงก์” เปิด 3 โจทย์รับมือปักหมุดสู่โลกอนาคต เร่งเสริมธุรกิจหลักแกร่ง มีประสิทธิภาพคู่ลดขนาดองค์กร เพิ่มความคล่องตัวดำเนินธุรกิจ พร้อม “ปรับกลยุทธ์” รับมือความท้าทายโลกได้เร็ว-ตรงเป้าหมาย
KEY
POINTS
- ไทยพาณิชย์เร่งปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ โดยมุ่งเน้น 2 ธุรกิจหลักที่ธนาคารมีความแข็งแกร่ง ทั้งธุรกิจลูกค้าสถาบันขนาดใหญ่ และขนาดกลาง และธุรกิจบริหารความมั่งคั่งสำหรับลูกค้ารายย่อย
- มีแผนลดขนาดองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ มองแนวโน้มสาขาลดลง จาก 650 แห่งในปัจจุบัน
- นำเทคโนโลยี และ AI มาใช้ประโยชน์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน และปรับขนาดองค์กรให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ธุรกิจที่เน้นเฉพาะทางมากขึ้น
- เพิ่มความเร็วในการดำเนินธุรกิจโดยปรับกระบวนการวัดผล และบริหารจัดการให้รวดเร็วขึ้น จากรายปีหรือรายครึ่งปี เป็นรายเดือนหรือรายไตรมาส เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า แผนธุรกิจธนาคารปี 2568 ภายใต้ Towards Future Proof Banking โดยในฐานะ CEO ของธนาคารไทยพาณิชย์ จากการดำรงตำแหน่งมาเป็นเวลา 1,137 วันที่ผ่านมา
เป้าหมายตั้งแต่เข้ามาดำรงตำแหน่งคือ หวังให้ธนาคารเป็นอันดับหนึ่งในธุรกิจ Wealth Management และการสร้างธนาคารให้เป็น Digital Bank ที่ยังคงมี Human Touch
นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายในการพยายามหาจุดสมดุลระหว่างการเติบโตของธุรกิจลูกค้าสถาบัน และธุรกิจลูกค้ารายย่อย รวมถึงการผันตัวเองให้เป็นดิจิทัลให้เร็วที่สุด และมุ่งมั่นที่จะได้รับความไว้วางใจเป็นอันดับหนึ่งในทุก Segment ที่เราดำเนินธุรกิจ
โดยสิ่งที่ทำสำเร็จแล้ว ในช่วงดำรงตำแหน่งคือ การทำให้ ROE หรือ Return on Equity เป็นสองหลัก ด้านต้นทุนต่อรายได้หรือ Cost to Income ตั้งเป้าต่ำ 40% และตั้งเป้าคุมให้อยู่ใกล้ 30% ให้ได้มากที่สุด ด้านรายได้จากช่องทางดิจิทัลอดีตอยู่เพียง 6-7% เท่านั้น มาสู่ปัจจุบันที่ขึ้นอยู่ที่ 25% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ รวมถึงสินเชื่อสีเขียว ที่ปัจจุบันเรายังคงเป็นเจ้าตลาด
อย่างไรก็ตาม ยังมี 2 เรื่องที่ยังทำไม่สำเร็จคือ การเป็นอันดับ 1 ธุรกิจ Wealth Management และการที่เรามีคะแนน NPS ของลูกค้าที่เลือกเราเป็น Main Bank เป็นอันดับ 1 ทั้งสองเรื่องนี้ยังเป็นสิ่งที่ไทยพาณิชย์ต้องทำให้ได้ หรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียงที่สุด
เปิดความท้าทายธุรกิจแบงก์
อย่างไรก็ตาม มองว่า ภายใต้ สถานการณ์โลกในช่วงที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ประเทศไทยเองก็เช่นกัน โดยมองว่ามี 3 เรื่องหลักที่ยังคงเป็นปัจจัยท้าทายต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน และในอนาคต
1. ความไม่แน่นอนของการแบ่งขั้วเศรษฐกิจโลก นโยบายการค้ายังไม่ตกตะกอนดี แม้ว่าจะมีอัตราภาษีที่ดูเหมือนจะมีความแน่นอนแล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากพิจารณาในมิติที่ลึกลงไป ก็ยังคงมีความไม่แน่นอนอีกมาก
อาทิ สัดส่วนของ Local Content ที่ยังไม่ตกลงกันในรายละเอียด หรือหากตกลงกันแล้วจะนับอย่างไร ซึ่งจะทำให้เกณฑ์ของภาษีเองก็อาจจะไม่นิ่ง
นอกจากนี้ การแบ่งขั้วเศรษฐกิจโลกก็ชัดเจนขึ้น จากเดิมที่โลกยึดเกาะกับประเทศในฟากตะวันตกเป็นหลัก แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา จีน และรัสเซีย ได้มีการจัดการประชุมและพูดคุยกันถึงการเน้นเรื่อง Global South บนแรงดึง และแรงดันนี้ จะทำให้เกิดการทุ่มตลาดของจีนมาที่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ซึ่งประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในสนามที่โดนสินค้าจีนทะลักเข้ามาเป็นจำนวนมาก ดังนั้น การนับ Local Content ที่ยังไม่ชัดเจน จะส่งผลกระทบต่อภาษีที่เราต้องเผชิญจริงหรือไม่ อย่างไร ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องติดตาม
2. สถานการณ์เปราะบางของผู้บริโภค และเศรษฐกิจในประเทศ ในภาคของผู้บริโภคหรือลูกค้ารายย่อย ตลาดบริโภคของเราอาจจะเปราะบาง หนี้ครัวเรือน และหนี้บุคคลของลูกค้ามีสัดส่วนที่สูงขึ้น ส่งผลให้สถานการณ์ภายในประเทศในเรื่องการเข้าถึงสินเชื่อรายย่อยยังคงมีความท้าทาย
นอกจากนี้ ภาคการท่องเที่ยวค่อนข้างเหนื่อย เนื่องจากเงินบาทแข็งค่า ทำให้สถานการณ์การท่องเที่ยวอาจจะไม่ดีนัก ดังนั้น ความท้าทายในภาพรวมของเศรษฐกิจจึงยังคงมีอยู่
3. การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแข่งขันในธุรกิจธนาคารในเชิงธุรกิจ จากมุมมองของธนาคาร มิติของการแข่งขันในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก โดยตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งที่ผ่านมามีเป้าหมาย ในการทำให้ธนาคารไทยพาณิชย์ต้องเป็น Digital Bank แต่ยังคงมี Human Touch
การมาของ Virtual Bank ซึ่งขณะนี้ได้ประกาศผู้ได้รับใบอนุญาตแล้ว แม้ว่าการแข่งขันยังไม่เห็นภาพชัดเจนเนื่องจากกำลังตั้งไข่กันอยู่ แต่เราก็ต้องเตรียมพร้อมรับมือ เพราะ Virtual Bank เหล่านี้จะพยายามปักหมุดในการหาเงินฝาก และเมื่อหาเงินฝากได้แล้วก็ต้องปล่อยสินเชื่อ ซึ่งจะชนกับการดำเนินงานของธนาคารทั่วไปดังนั้น การทำอย่างไรให้เรามีจุดเด่นที่ดีกว่า Virtual Bank จึงเป็นโจทย์สำคัญของทุกธนาคาร
อีกเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญคือ ความก้าวหน้าของ AI ธนาคารใดที่สามารถนำ AI มาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้เร็วขึ้น ก็จะสามารถทำให้ธุรกิจก้าวกระโดดได้ นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องOpen Bankingจากแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่จะมีการแชร์ข้อมูลให้กับผู้เล่นที่ไม่ใช่ธนาคารและได้รับข้อมูลที่ใกล้เคียงหรือเสมือนหนึ่งเป็นธนาคาร
สิ่งนี้จะนำมาซึ่งโมเดลทางธุรกิจรูปแบบใหม่ที่เข้ามาท้าทาย แต่อีกมิติหนึ่งก็อาจจะเปิดโอกาสในการสร้างพันธมิตรใหม่ๆ ให้กับกลุ่มธนาคาร และจะเปลี่ยนรูปแบบของการทำธุรกิจธนาคาร จากเดิมที่เป็นธนาคารเพียงอย่างเดียวไปทำธุรกิจอื่นๆ มากขึ้น
ดังนั้น ทั้ง 3 ประเด็นนี้ จึงเป็นความท้าทายในเชิงธุรกิจที่ทุกธนาคารจะต้องเผชิญร่วมกัน
เปิดกลยุทธ์รับมือความท้าทาย
ในการรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ในมิติของธนาคารเอง คือ ต้องทำให้ตัวเองมีประสิทธิภาพมากขึ้น เราต้องมีความชัดเจนในเป้าหมายที่เราจะไป เราไม่สามารถบอกว่าเราทำทุกอย่างได้ดีหมด แต่เราต้องเลือกทำในสิ่งที่เราเข้มแข็ง
หากพูดถึงไทยพาณิชย์ต้องนึกถึงเรื่องอะไร สิ่งนี้ต้องมีความชัดเจน ในมุมของการปรับตัวภายในองค์กร การใช้ AI เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการนำเสนอสินค้า และบริการแบบ Hyper Personalization ก็จะมีความสำคัญ และการสร้างพันธมิตรใหม่ๆ ก็จะมีความสำคัญเช่นเดียวกัน
สิ่งเหล่านี้ นำมาสู่กลยุทธ์ หรือโจทย์ของธนาคารไทยพาณิชย์ ในการมุ่งเน้นใน 3 เรื่องที่เชื่อว่ามีความสำคัญที่เราต้องทำ
3 กลยุทธ์หลักของธนาคารไทพาณิชย์
1. เสริมสร้างธุรกิจหลักให้เข้มแข็ง ในสถานการณ์การแข่ งขันและความท้าทายทางเศรษฐกิจที่มากมาย เพราะไม่เชื่อว่าเราจะสามารถเป็นธนาคารที่ทำอะไรแบบกลางๆ ในทุกเรื่อง หรือเป็น Average Performer ได้อีกต่อไป เพราะโลกจะกดดันให้คนธรรมดาไม่สามารถเป็นคนธรรมดาได้ ทุกคนต้องเป็นคนพิเศษในมุมมองของตัวเอง
ซึ่งหมายความว่าเราคงต้องเลือกทำ ในการเลือกทำนั้น ไทยพาณิชย์ได้กลับมาดูว่าอะไรคือจุดแข็งของเรา และเน้นในการทำธุรกิจที่เราเชื่อว่าเป็นจุดแข็ง จุดแข็งของไทยพาณิชย์มีอยู่ 2 เรื่องหลักๆ คือ ธุรกิจลูกค้าสถาบัน ทั้งขนาดใหญ่และขนาดกลางและธุรกิจลูกค้ารายย่อยที่ตอบโจทย์เรื่องการบริหารความมั่งคั่ง ไปสู่อนาคต
“สองเรื่องนี้จะเป็นสองเรื่องหลักที่ไทยพาณิชย์จะทุ่มสรรพกำลัง โดยไม่วอกแวก และไม่ไปทำ 100 อย่าง แต่จะทำแค่ 2 อย่างนี้ เพื่อทำให้ธนาคารไทยพาณิชย์มีจุดเด่นที่มีความสำคัญ”
2. ปรับโครงสร้างและลดขนาดองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ภายใต้เป้าหมายที่ต้องการให้ไทยพาณิชย์มี ROE สองหลักและมี Cost to Income ใกล้เคียง 30% ให้ได้มากที่สุด นั่นคือ ต้องลดขนาดองค์กรและปรับขนาดองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
โจทย์ในการปรับและลดขนาดองค์กรนี้มาในหลายบริบท ทั้งในบริบทของการใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ การมีประสิทธิภาพต่อหน่วยที่เพิ่มขึ้น โดยที่ 1 คนสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นจากเทคโนโลยี
การลดขนาดขององค์กรเพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของธุรกิจ หากเราต้องการเน้นธุรกิจสินเชื่อลูกค้าสถาบันและธุรกิจรายย่อยที่ตอบโจทย์การทำธุรกิจแบบ Wealth Management แน่นอนว่าขนาดขององค์กรของเราก็ต้องเปลี่ยนไปและสอดคล้องกับธุรกิจนั้น
3. ปรับกระบวนการวัดผล และการบริหารจัดการความสำเร็จให้รวดเร็วและชัดเจน เมื่อเป้าหมายในการเลือกความโดดเด่นของเรา หรือการปักหมุดสิ่งที่เราเชื่อว่าเป็นจุดแข็งของเราชัดเจน ควบคู่ไปกับการที่เรากลับมาดูว่าเราต้องสร้างประสิทธิภาพ และลดขนาดองค์กรให้มีความสอดคล้อง
“เรื่องที่สามคือ รอบในการบริหารจัดการความสำเร็จ หรือการวัดผลเป้าหมายก็จะเปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน จากเดิมที่อาจจะมีการประเมินผลเป็นรายปี หรือรายครึ่งปี ต่อไปนี้เราคงต้องมาดูสถานการณ์ และดูโจทย์ความคืบหน้าในการทำงานเป็นรายเดือน หรืออย่างช้าคือ รายไตรมาส และปักหมุดในการดำเนินการแบบจับต้องได้ เห็นผลในระยะสั้น โดยไม่ไปรอผลในระยะกลางหรือไกล เพราะเศรษฐกิจและโลกมันเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว”
ดังนั้น โจทย์ของไทยพาณิชย์จากนี้ไปจะมี 3 เรื่องหลักๆ คือเสริมธุรกิจหลักให้เข้มแข็ง ปรับธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ และลงมือทำบนเป้าหมายการประเมินอย่างรวดเร็ว และชัดเจน โดยไม่รอไปจนถึงสิ้นไตรมาสหรือสิ้นปี
5-10ปี ธุรกิจแบงก์จะเริ่มเห็นขนาดองค์กรแบงก์ลดลง
อย่างไรก็ตาม มองว่า 5-10 ปี หลังจากนี้ จะเริ่มเห็นขนาดธนาคารลดลง และจะเริ่มเห็นจำนวนพนักงานลดลงหากเทียบกับอดีต จากที่อยู่ราว 18,000-19,000 คน มาอยู่ที่ระดับ หมื่นคนต้นๆ เช่นเดียวกับ สาขาของธนาคารไทยพาณิชย์ที่อาจเห็นการลดลงตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป จากปัจจุบันอยู่ที่ 650 สาขา
สำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพองค์กร และลดต้นทุน สิ่งที่ทำได้คือ การผลักดันให้ลูกค้าธนาคารหันมาใช้ดิจิทัลมากขึ้นอีก 20% ไปใช้ SCB EASY จากปัจจุบันที่มีจำนวนผู้ใช้งานผ่านแอป อยู่ที่ 17 ล้านราย
รับห่วงปัญหาคุณภาพหนี้สิน
นายกฤษณ์ กล่าวว่า วันนี้ยังคงเป็นห่วงเรื่องคุณภาพหนี้ เนื่องจากปัจจุบันธุรกิจขนาดใหญ่ยังเข้มแข็งเติบโต แต่ธุรกิจรายย่อย และเอสเอ็มอียังมีความท้าทาย ในบางเซกเมนต์เริ่มส่งสัญญาณความน่ากังวลในการบริหารจัดการหนี้ และหากดูศักยภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่กลับมาเติบโตตามศักยภาพ
ลูกหนี้ส่วนใหญ่ก็ยังมีความท้าทายในการออกจากกับดักหนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่แบงก์เฝ้าระวัง และบริหารจัดการความเสี่ยงในเซกเตอร์ที่น่ากังวลอย่างใกล้ชิด และปรับโครงสร้างหนี้เพื่อให้ลูกค้าธนาคารรอด
นายกฤษณ์ กล่าวถึงการเมือง และทีมเศรษฐกิจใหม่ ว่า สิ่งที่อยากเห็น คือ การให้ความสำคัญของ “ความเชื่อมั่น” เป็นอันดับแรก แม้จะมีเงื่อนไขระยะเวลาอันสั้น แต่หากรัฐบาลสามารถสร้างความเชื่อมั่นในการดำเนินการในสิ่งที่ถูกต้อง และต่อยอดให้ประเทศเติบโตไปข้างหน้าได้ ก็จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ แต่หาก “ติดกระดุมเม็ดแรกผิด” จะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในอนาคต
นโยบายที่ต้องทำคือ การกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ประเด็นสำคัญรองลงมาคือ การกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ที่ต้องทำอย่างรวดเร็ว โดยเป็นการกระตุ้นที่ตรงเป้าหมาย (targeted) ไม่ใช่การหว่านแห และนโยบายทางการคลัง (fiscal policy) และนโยบายทางการเงิน (monetary policy) ต้องดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์





