‘วายแอลจี-ฮั่วเซ่งเฮง’ ลุ้น‘ทองไทย’จ่อแตะ60,000บาท

“ทองคำ” ยังเป็น “ขาขึ้น” ชัดเจน หลังจากวานนี้ “ทองในประเทศ” ทำAll Time High ครั้งใหม่ ที่ระดับ 54,900 บาท (ณ เวลา 15.45 น.) ระหว่างวันปรับขึ้น-ลง 9 ครั้ง
ด้านผู้ค้าทอง “วายแอลจี-ฮั่วเซ่งเฮง” คาดการณ์มีโอกาสขึ้นหาเป้าหมาย มีลุ้นได้เห็นราคาไปถึง 56,000-57,000 บาทในสิ้นปีนี้ และหาก “เฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย” และ “เงินบาทอ่อนค่า” มีลุ้นไปถึง 60,000 บาทได้
ขณะที่ ราคาทองต่างประเทศ ทำ All Time High ทะลุ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ไปแล้ว ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 3,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แนวต้านแรกที่ระดับ 3,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากยืนได้แนวต้านถัดไปที่ระดับ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์
“นพวรรณ์ นววัฒน์ทรัพย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายเอลจี บลูเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ YLG เปิดเผยว่า ยังมองแนวโน้มราคาทองปีนี้ยังเป็น “ขาขึ้น” ทองต่างประเทศเพิ่มขึ้นอีก 300-400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แนวต้านแรก 3,750 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากแตะระดับดังกล่าวได้ มีโอกาสขึ้นไปถึงแนวต้านถัดไป 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และคาดแนวรับไม่ต่ำกว่า 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ระยะสั้นแนวรับแรก 3,450-3,480 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ส่วน “ทองไทย” ขึ้นกับค่าเงินบาทหากเงินบาทอ่อนค่ามากกว่า 32 บาทต่อดอลลาร์ ราคามีโอกาสขยับขึ้นไปถึง 60,000 บาท ในปีนี้หรือปีหน้า และหากเงินบาทแข็งค่าระดับ 31-32 บาทต่อดอลลาร์ ยังให้กรอบราคาสิ้นปีนี้ที่ 56,000-57,000 บาท แต่เชื่อยังไม่หลุดระดับ 55,000 บาท
"ราคาทอง"ยังมีปัจจัยหนุน
จากความต้องการถือทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งปีนี้คาดปริมาณการซื้อทองรวมกัน 800-1,000 ตัน สะท้อนครึ่งแรกปีนี้ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อรวมกันไปแล้วราว 400 ตัน โดยเฉพาะ “จีน” ปัจจุบันมีปริมาณซื้อทองคำแล้ว 2,300 ตัน และยังมีความต้องการซื้อเพิ่มมีเป้าหมายที่ 4,000 ตัน
ขณะเดียวกัน กลุ่มนักลงทุนไทยยังมีความต้องการ เพื่อการบริโภคเติบโตสูงสุดในโลก ติดอันดับ 10 ของโลก และติดอันดับ 3 ของเอเซีย รองจาก “จีนและอินเดีย” ซึ่งยังมีความต้องการทองคำเพื่อลงทุนจากทิศทางทองคำเป็นขาขึ้น
ด้านปัจจัยภายนอกยังเป็นแรงหนุนสำคัญ จากโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ยในปีนี้ คาดการประชุมเฟดในเดือนก.ย. หากลดดอกเบี้ย จะถือเป็นการกดปุ่มลดดอกเบี้ยได้ต่อเนื่อง ราคาทองจะเป็นขาขึ้นได้อีก
นโยบายภาษีทรัมป์ ที่ยังมีโอกาสสร้างความปั่นป่วนในตลาดการเงินและกดดันเศรษฐกิจสหรัฐ รวมถึงความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ยังสามารถจุดชนวนรุนแรงได้ ดังนั้น เมื่อยังมี “ความกลัว” เกิดขึ้น ทองคำยังเป็นเป้าหมายลงทุนในฐานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย”
เมื่อราคาทองต่างประเทศ ที่ปรับขึ้นเพียงสัปดาห์เดียวถึง 200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และราคาปรับขึ้นสูง จากต้นปีที่ 2,600 ดอลลาร์ อยู่ที่ 3,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในปัจจุบัน หากปัจจัยต่างๆ เปลี่ยนไปทางตรงกันข้ามที่คาดไว้ มีโอกาสที่ราคาทองปรับฐานย่อตัวลงในระยะสั้น กรอบแนวรับ 3,450 -3,480 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่เชื่อทองไทยยังไม่หลุด 55,000 บาท เนื่องจากเงินบาทระยะสั้นนี้กลับมาแข็งค่า
“ธนรัชต์ พสวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง เปิดเผยว่า แนวโน้มองคำไตรมาส 4 ปี 2568 ยังมีปัจจัยภายนอก ทั้งทิศทางดอกเบี้ยประเทศเศรษฐกิจหลัก ภาวะค่าเงิน และความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางภูมิรัฐศาสตร์ผันผวน ขณะที่ ในประเทศ สัญญาณบริโภคยังทรงตัวในเชิงบวก และการขยายบริการที่หลากหลายช่องทางอำนวยความสะดวกในการซื้อขายและออมทอง
ในสิ้นปีนี้คาดราคาทองต่างประเทศ แนวรับ 3,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และแนวต้าน 3,780 ดอลลาน์ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองไทยยังมีโอกาสขยับขึ้นแตะระดับ 56,000 บาท ถือว่าเป็นระดับที่ค่อนข้างสูงมาก แต่ยังมีโอกาสไปถึงระดับ 60,000 บาทได้เช่นกัน ซึ่งขึ้นกับปัจจัยลดดอกเบี้ยของเฟดเป็นผลบวกราคาทอง และจับตานโยบายแทรกแซงของทรัมป์ถูกกระทบได้ง่ายทำให้ต้องการถือทองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
ทั้งนี้ ยังขึ้นกับค่าเงินบาทระยะสั้นแข็งค่าขึ้นมากขึ้นแค่ไหน เนื่องจากไทยพึ่งพาท่องเที่ยว และนักลงทุนขายดอลลาร์ สะท้อนดอลลาร์อ่อน รวมถึงกระแสฟันด์โฟลว์เข้าตลาดหุ้นและบอนด์ไทยทำให้ราคาทองอาจขยับขึ้นได้ไม่มาก






