ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 8 ก.ย.68 'แข็งค่า' ตามราคาทองพุ่ง

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 8 ก.ย.68 'แข็งค่า' ตามราคาทองพุ่ง

ค่าเงินบาทวันนี้ 8 ก.ย.68 เปิดตลาด "แข็งค่า" ที่ระดับ 32.28 บาทต่อดอลลาร์ "กรุงไทย" ชี้รับทองพุ่งทำสถิติใหม่ มองกรอบเงินบาทวันนี้ 32.00-32.20 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า "ค่าเงินบาทวันนี้" เปิดเช้านี้ ที่ระดับ  32.10 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”
จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ  32.18 บาทต่อดอลลาร์ 

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 31.85-32.45 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.00-32.20 บาทต่อดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้น ทะลุโซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์ เล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ผ่านกรอบด้านล่างที่เราประเมินไว้ (แกว่งตัวในกรอบ 32.25-32.39 บาทต่อดอลลาร์) ตามการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ ซึ่งหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์เช่นกัน

หลังรายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTS Job Openings) เดือนกรกฎาคม ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 7.18 ล้านตำแหน่ง แย่กว่าที่ตลาดประเมินไว้เกือบ 7.4 ล้านตำแหน่ง กอปรกับ รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book) ก็สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ ที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะในส่วนของการจ้างงาน ทำให้ ผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจว่า เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ย 25bps ได้ในการประชุม FOMC เดือนกันยายน และมองว่า เฟดมีโอกาสราว 32% ที่จะสามารถลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ และยังคงมีโอกาสราว 26% ที่จะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้อีก 4 ครั้ง ในปี 2026 อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างรอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์และบรรดาสกุลเงินต่างประเทศ อย่าง JPYTHB (หลังเงินเยนญี่ปุ่นอ่อนค่าลง เทียบเงินบาทพอสมควร) นอกจากนี้ บรรยากาศตลาดการเงินสหรัฐ ที่กลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ก็กดดันให้ ราคาทองคำมีจังหวะย่อตัวลงบ้าง ซึ่งช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท 

สัปดาห์ที่ผ่านมา ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมของสหรัฐ ออกมาแย่กว่าคาดไปมาก หนุนให้ผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด กดดันเงินดอลลาร์ และบอนด์ยีลด์สหรัฐ

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอติดตาม รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐ พร้อมติดตามสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และไทยอย่างใกล้ชิด

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
 

  • ฝั่งสหรัฐ – ไฮไลต์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ในเดือนสิงหาคม รวมถึงอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (Inflation Expectations) ระยะสั้น และระยะยาว ในรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) ในเดือนกันยายน ซึ่งจะสะท้อนถึงแนวโน้มเงินเฟ้อของสหรัฐ พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม การปรับปรุงข้อมูลการจ้างงานของทาง BLS (BLS Preliminary Benchmark Revision to Establishment Survey Data) ซึ่งอาจยิ่งสะท้อนภาพการจ้างงานสหรัฐ ที่ชะลอลงมากขึ้นได้ โดยทั้งข้อมูลสะท้อนภาพเงินเฟ้อ และการจ้างงานสหรัฐ ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟดได้อย่างมีนัยสำคัญ หลังล่าสุด ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนสิงหาคม ออกมาแย่กว่าคาดไปมาก ทำให้ ผู้เล่นในตลาดเริ่มคาดหวังการเร่งลดดอกเบี้ย 50bps ในการประชุม FOMC เดือนกันยายน พร้อมประเมินว่า เฟดมีโอกาส 75% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ และอาจลดดอกเบี้ยราว 3-4 ครั้ง ในปี 2026 
  • ฝั่งยุโรป – เราประเมินว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจจบรอบการลดดอกเบี้ยแล้ว โดย ECB จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ไว้ที่ระดับ 2.00% ทว่า บรรดาเจ้าหน้าที่ ECB โดยเฉพาะประธาน ECB อาจยังคงระบุว่า ECB ก็พร้อมปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ สะท้อนว่า ECB ยังคงมีทางเลือกในการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม ถ้าจำเป็น นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่อนถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ BOE และรอลุ้น รายงานดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (Sentix Investor Confidence) ของยูโรโซน ในเดือนกันยายน ทั้งนี้ อีกไฮไลต์สำคัญของฝั่งยุโรป จะอยู่ที่สถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส ซึ่งจะมีการโหวตมติไว้วางใจ (Confidence Vote) นายกฯ François Bayrou โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า นายกฯ จะพ่ายแพ้ในการโหวตมติไว้วางใจดังกล่าว เนื่องจากรัฐบาลฝรั่งเศสมีเสียงน้อยกว่าฝ่ายค้านพอสมควร ซึ่งจะนำไปสู่การลาออกจากตำแหน่งของนายกฯ โดยประธานาธิบดี Emmanuel Macron สามารถแต่งตั้งนายกฯ คนใหม่มาแทน หรือเลือกที่จะยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ได้ โดยรายงานข่าวล่าสุด สะท้อนว่า ประธานาธิบดี Emmanuel Macron อาจเลือกแต่งตั้งนายกฯ คนใหม่ โดยเลือกตัวแทนจากฝั่งซ้าย เพื่อหาทางออกให้กับสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส แทนที่จะประกาศยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่
  • ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีนผ่านรายงานยอดการส่งออก และนำเข้า ในเดือนสิงหาคม รวมถึงรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ในเดือนสิงหาคม ที่จะช่วยสะท้อนว่า เศรษฐกิจจีนจะยังคงอยู่ในภาวะเงินฝืด (Deflation) ต่อเนื่องหรือไม่ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามสถานการณ์การเมืองญี่ปุ่น หลังล่าสุด นายกฯ Shigeru Ishiba ประกาศลาออกจากตำแหน่ง ทำให้สถานการณ์การเมืองญี่ปุ่นเสี่ยงเผชิญความปั่นป่วน เนื่องจากพรรคฝ่ายรัฐบาล LDP และ Komeito ต่างสูญเสียการครองเสียงข้างมากทั้งสองสภา ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า หัวหน้าพรรค LDP คนใหม่ ที่จะมาแทน อดีตนายกฯ Shigeru Ishiba อาจจะไม่ได้เป็นนายกฯ คนถัดไป อีกทั้ง ยังเพิ่มโอกาสที่นายกฯ คนใหม่ อาจเลือกที่จะยุบสภา เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่     
  • ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่ ภายใต้นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) ในเดือนสิงหาคม 


สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เรายอมรับว่า เงินบาทอาจกลับไปอ่อนค่าต่อเนื่องอย่างชัดเจน “ยาก” หลังผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด กดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง พร้อมกับการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองไทยก็ดูคลี่คลายลงบ้าง ลดความเสี่ยงที่จะเห็นแรงขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติที่รุนแรง 

อย่างไรก็ดี เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way risk โดยเรามองว่า ยังมีโอกาสที่เงินบาทอาจอ่อนค่าลงบ้าง หรืออย่างน้อยการแข็งค่าขึ้นขอเงินบาทก็ควรชะลอลง หลังผู้เล่นในตลาดได้ปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดมาพอสมควร โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า เฟดมีโอกาสราว 75% ที่จะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ ทำให้ หากอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐ ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง หนุนให้เงินดอลลาร์ และบอนด์ยีลด์สหรัฐ อาจรีบาวด์ขึ้น กดดันทั้งราคาทองคำ และเงินบาทได้ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์อาจได้แรงหนุนเพิ่มเติม จากการอ่อนค่าของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินยูโร (EUR) และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส และญี่ปุ่นในระยะสั้น   

อนึ่ง เรามองว่า ควรจับตาทิศทางราคาทองคำ (XAUUSD) และเงินหยวนจีน (CNY) อย่างใกล้ชิดด้วยเช่นกัน เนื่องจากการเคลื่อนไหวของทั้งสองสินทรัพย์อาจส่งผลกระทบต่อเงินบาทได้พอสมควร


ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า แม้เงินดอลลาร์ยังคงเผชิญ Two-way risk แต่ เงินดอลลาร์อาจรีบาวด์ขึ้น หากอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐ เร่งตัวสูงขึ้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง ขณะเดียวกัน ความวุ่นวายของสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส และญี่ปุ่น อาจกดดันบรรดาสกุลเงินหลักได้

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward  

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์