ติวเตอร์มือโปร ควรรู้สิ่งนี้ก่อนโดนเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง

"ติวเตอร์" หรือ "ครูสอนพิเศษ" แม้จะเริ่มจากการสอนเล่นๆ แต่เมื่อมีรายได้เข้ามา ก็ต้องอย่าลืมเรื่อง "ภาษี" เพราะถ้าสรรพากรเรียกตรวจสอบย้อนหลังปัญหาก็จะตามมาทันที
การเรียนออนไลน์หรือการเรียนแบบตัวต่อตัวกลายเป็นทางเลือกหลักของผู้เรียนทุกเพศทุกวัย ทำให้สายอาชีพ "ติวเตอร์" หรือ "ครูสอนพิเศษ" เติบโตอย่างต่อเนื่อง หลายคนเริ่มจากการสอนเล่นๆ แต่เมื่อมีรายได้เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ ก็กลายเป็นรายได้หลักแบบไม่รู้ตัว
แต่สิ่งที่ติวเตอร์มืออาชีพจำนวนมากมักมองข้าม คือ "เรื่องภาษี" เพราะคิดว่าอาชีพอิสระ รายได้ไม่แน่นอน ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรจึงไม่ได้ยื่นภาษีอย่างถูกต้อง จนกระทั่งวันหนึ่ง…เมื่อสรรพากรเรียกตรวจสอบย้อนหลังปัญหาก็จะตามมาทันที
ดังนั้นในบทความที่จะนำเสนอต่อไปนี้จะพาไปทำความรู้จักข้อควรรู้ด้านภาษีที่คนเป็นติวเตอร์ หรือ ครูสอนพิเศษควรเข้าใจ ก่อนจะเจอปัญหาโดนเรียกเก็บภาษีย้อนหลังจนตั้งตัวไม่ทัน สามารถอธิบายได้ดังนี้
รายได้จากการสอนพิเศษ ถือเป็นรายได้ประเภทไหน?
ตามกฎหมายภาษีอากร รายได้จากการเป็นติวเตอร์ หรือครูสอนพิเศษ จะถือเป็น “เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(2) หรือ 40(8)” ของประมวลรัษฎากร ขึ้นอยู่กับลักษณะของการรับจ้างและการให้บริการ
- หากมีลักษณะเป็นการรับจ้างสอน เช่น ไปสอนตามโรงเรียน สถาบันต่างๆ หรือลูกค้าจ้างเป็นครั้งคราว รายได้นั้นจะเข้าข่าย 40(2) คือเงินได้จากการรับจ้างทั่วไป
- แต่ถ้าคุณเปิดคอร์สเอง มีการจัดรูปแบบการสอนเป็นระบบ สร้างหลักสูตร มีนักเรียนสมัครเรียนเป็นกลุ่ม และจัดการทุกอย่างเอง รายได้นั้นจะเข้า 40(8) คือเงินได้จากการประกอบวิชาชีพอิสระ (คล้ายการทำธุรกิจเล็กๆ)
การแยกประเภทนี้สำคัญ เพราะจะส่งผลต่อวิธีการยื่นภาษีและสิทธิ์ในการหักค่าใช้จ่ายด้วย
ไม่ยื่นภาษี เสี่ยงโดนย้อนหลังจริงหรือ?
คำตอบคือ "ใช่" และ "มีโอกาสสูง" ในยุคนี้ข้อมูลทุกอย่างถูกเชื่อมโยงผ่านระบบดิจิทัล สรรพากรสามารถเข้าถึงข้อมูลธุรกรรมต่างๆ ได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น
- รายการโอนเงินเข้าบัญชี
- การรับเงินผ่านแอปฯ โอน จ่าย
- การโฆษณาเปิดคอร์สเรียนผ่าน Facebook LINE IG
- การจ่ายเงินของนักเรียนหรือผู้ปกครองที่ใช้วิธีโอนและมีหลักฐานชัดเจน
เมื่อข้อมูลเหล่านี้ถูกรวบรวม และพบว่าไม่ได้มีการยื่นภาษีตามจำนวนรายได้จริง ก็มีสิทธิ์โดนเรียกตรวจสอบย้อนหลัง และตามมาด้วย "ค่าปรับ + เงินเพิ่ม" จากยอดภาษีที่ค้างจ่าย
ต้องยื่นแบบไหน? ยื่นเมื่อไร?
คนที่มีรายได้จากการสอนพิเศษ ต้องยื่นภาษีปีละ 2 ครั้ง (กรณีมีรายได้เกินเกณฑ์ขั้นต่ำ)
1. กลางปี (ภ.ง.ด.94)
ยื่นภายในสิ้นเดือนกันยายน สำหรับเงินได้ช่วงเดือนมกราคม – มิถุนายนของปีภาษีนั้น
2. ปลายปี (ภ.ง.ด.90)
ยื่นภายในสิ้นเดือนมีนาคมของปีถัดไป สำหรับเงินได้ทั้งปีที่ผ่านมา
หากรายได้ทั้งปีไม่ถึง 120,000 บาท (กรณีโสด) หรือ 220,000 บาท (กรณีที่คู่สมรสไม่มีรายได้) อาจไม่ต้องเสียภาษี แต่ "ยังคงต้องยื่นแบบ"
หักค่าใช้จ่ายอย่างไร?
ติวเตอร์สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริง (แต่ต้องมีหลักฐาน) หรือจะเลือกหักแบบเหมาก็ได้
- หากเป็น 40(2) → หักค่าใช้จ่ายเหมาได้ สูงสุด 50% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
- หากเป็น 40(8) → หักเหมาได้ สูงสุด 30% (แต่บางกรณีสามารถหักตามจริงได้มากกว่านั้น เช่น ค่าอุปกรณ์ ค่าถ่ายเอกสาร ค่าเดินทาง ฯลฯ)
ออกใบเสร็จ ต้องทำหรือไม่?
ติวเตอร์ที่รับสอนแบบมีระบบ หรือมีนักเรียนหลายคน ควรมี "หลักฐานการรับเงิน" เช่น ใบเสร็จ ใบแจ้งยอด หรือข้อความยืนยันการชำระ เพื่อให้สอดคล้องกับรายได้ที่แจ้งกับสรรพากร
หากรับเงินผ่านบัญชีธนาคารส่วนตัว ควรแยกบัญชีเฉพาะสำหรับงานสอน เพื่อให้ติดตามรายได้ง่าย และเป็นหลักฐานที่ชัดเจน
ทำไมสรรพากรถึงรู้?
สรรพากรมีสิทธิ์ตรวจสอบจากหลายแหล่ง เช่น
- ข้อมูลจากธนาคาร เมื่อยอดเงินโอนเข้าเกินระดับที่ผิดปกติ
- การโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์แบบสาธารณะ
- การร้องเรียนจากผู้ใช้บริการ
- การสุ่มตรวจในสายอาชีพที่เข้าข่ายมีรายได้สูงแต่ไม่เสียภาษี
ในบางกรณี การออกคอร์สสอนในแพลตฟอร์มใหญ่ หรือร่วมมือกับสถาบัน จะมีการส่งข้อมูลให้สรรพากรโดยตรง
บทสรุป
แม้อาชีพติวเตอร์จะเป็นอาชีพอิสระ แต่ก็ไม่ใช่อาชีพที่อยู่นอกระบบภาษี หากมีรายได้สม่ำเสมอ หรือมีรายได้ปีละหลักแสนขึ้นไป การละเลยเรื่องภาษีอาจนำไปสู่การโดนตรวจสอบย้อนหลัง ซึ่งนอกจากจะต้องจ่ายภาษีย้อนหลัง ยังต้องรับภาระค่าปรับและเงินเพิ่มอีกไม่น้อย
เพราะฉะนั้น หากคุณคือ "ติวเตอร์มือโปร" ที่จริงจังกับอาชีพนี้ ควรเริ่มจัดระบบบัญชีรายรับ-รายจ่ายให้เรียบร้อย ยื่นภาษีให้ตรงเวลา และหากไม่มั่นใจในรายละเอียด ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี
อ่านบทความน่ารู้เกี่ยวกับภาษี เพิ่มเติม คลิกที่นี่
Source : Inflow Accounting







