รับมือ US Reciprocal Tariff ด้วย “3C” Strategy : ทางรอดและโอกาสของธุรกิจไทยในยุคการค้าโลกเปลี่ยนแปลง

รับมือ US Reciprocal Tariff ด้วย “3C” Strategy : ทางรอดและโอกาสของธุรกิจไทยในยุคการค้าโลกเปลี่ยนแปลง

นำเสนอกลยุทธ์ “3C” เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ประกอบการไทยใช้รับมือกับผลกระทบจากมาตรการภาษี

KEY

POINTS

  • สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ในอัตราร้อยละ 19 กับสินค้าที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกและธุรกิจในวงกว้าง
  • บทความได้นำเสนอกลยุทธ์ “3C” เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ประกอบการไทยใช้รับมือกับผลกระทบจากมาตรการภาษีดังกล่าว
  • กลยุทธ์ “3C” ประกอบด้วย 1) การทบทวนแหล่งกำเนิดสินค้า (Country of Origin Review) 2) การปรับโครงสร้างต้นทุน (Cost Revision) และ 3) การทบทวนกลไกการชดเชย (Compensation Review)

ท่านผู้อ่านคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ภายใต้คำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เรื่อง “การแก้ไขอัตราภาษีตอบโต้เพิ่มเติม” (Further Modifying the Reciprocal Tariff Rates) รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ตัดสินใจประกาศการจัดเก็บภาษีตอบโต้ในอัตราร้อยละ 19 สำหรับสินค้าที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศไทย การประกาศดังกล่าวจึงส่งผลกระทบทางธุรกิจกระจายไปยังหลายกลุ่มกิจการ โดยเฉพาะกับผู้ส่งออกที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก

เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ สินค้าอุปโภคบริโภค และเครื่องจักร ไม่เพียงเท่านั้น ผู้เขียนมีความเห็นว่า ธุรกิจอื่น ๆ ที่ไม่ได้พึงพาตลาดสหรัฐฯ โดยตรงก็จะได้รับผลกระทบทางอ้อมเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้นทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงอาจมีการเจรจาเงื่อนไขทางการค้าใหม่ระหว่างผู้ซื้อสินค้าและผู้ขายเพื่อให้สอดรับกับภาษีและกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลง คำถามสำคัญที่ผู้เขียนได้รับในช่วงนี้คือ ธุรกิจไทยควรรับมืออย่างไร? เรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนและต้องพิจารณาในหลากหลายมิติ ผู้เขียนจึงขอนำเสนอผู้ประกอบการไทยด้วยแนวทางรับมือแบบรอบด้านฉบับ “3C”

3C : แนวทางรับมือภาษีตอบโต้สำหรับผู้ประกอบการไทย

แนวทาง “3C” ที่ผู้เขียนขอนำเสนอให้ผู้ประกอบการไทยนำมาประยุกต์ใช้เพื่อช่วยลดผลกระทบและเสริมความสามารถในการแข่งขันมีดังนี้

1.Country of Origin Review หรือการทบทวนแหล่งกำเนิดสินค้า

สำหรับแนวทางแรกใน 3C ผู้ประกอบการควรเริ่มประเมินการบริหารจัดการด้านการผลิตและการจัดซื้อใหม่ โดยเฉพาะกรณีที่ใช้ชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบนำเข้าจากจีนหรือประเทศอื่นๆ เป็นหลัก หลักการสำคัญที่ผู้เขียนขอเน้นย้ำ คือ ผู้ประกอบการจะต้องตรวจสอบว่าสินค้าขั้นสุดท้ายยังคงเข้าข่ายเป็นสินค้าสัญชาติไทยตามเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้าของสหรัฐฯ หรือไม่ เพราะหากไม่เข้าเกณฑ์ดังกล่าว แม้สินค้าจะผลิตในประเทศไทยก็อาจถูกเรียกเก็บภาษีตอบโต้กรณีสวมสิทธิ์ (Transshipment) ซึ่งมีอัตราสูงถึง 40% ดังนั้น ใน C แรกนี้ ประเด็นที่ผู้เขียนฝากให้ผู้ประกอบการพิจารณา ได้แก่

• บริษัทมั่นใจและมีกระบวนการตรวจสอบที่เพียงพอหรือไม่ที่จะสรุปว่าสินค้าที่ผลิตนั้นผ่านเกณฑ์การได้ถิ่นกำเนิดในประเทศไทยตามหลักเกณฑ์ของประเทศผู้นำเข้า

• วัตถุดิบนำเข้ามีที่มาจากประเทศใดบ้าง มีสัดส่วนเท่าไหร่ และจะสามารถจัดหาวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากผู้ผลิตในประเทศเพิ่มขึ้นได้หรือไม่

• วัตถุดิบที่ซื้อจากซัพพลายเออร์ในประเทศไทยเพื่อนำมาผลิตสินค้าส่งออกนั้นถูกผลิตขึ้นในประเทศและผ่านเกณฑ์ถิ่นกำเนิดในประเทศจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงวัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศ

• จำเป็นต้องขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Non-preferential certificate of origin) หนังสือรับรอง “Made in Thailand” หรือขอคำวินิจฉัยภาษีศุลกากรจากหน่วยงานศุลกากรสหรัฐฯ (US CBP rulings) เพื่อใช้ยืนยันถิ่นกำเนิดสินค้าในอนาคตหรือไม่

2. Cost Revision หรือการปรับโครงสร้างต้นทุน

แนวทางที่สองใน 3C นี้ ผู้เขียนขอเสนอให้ผู้ประกอบการควรมองหาโอกาสเพิ่มประสิทธิภาพในการลดต้นทุน ทั้งในด้านกระบวนการผลิต โลจิสติกส์ และการวางแผนภาษี เช่น การปรับโครงสร้างต้นทุนการขายสินค้า ประเมินต้นทุนที่สามารถปรับลดได้ หรือใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากรที่อาจมองข้าม เป็นต้น นอกจากนี้ ผู้เขียนขอเน้นย้ำอีกประเด็นหนึ่งว่า การประเมินราคาทางศุลกากรเพื่อคำนวณฐานภาษี มีหลักเกณฑ์แตกต่างจากการกำหนดราคาซื้อขายในทางบัญชี ดังนั้นการทำความเข้าใจและบริหารจัดการความแตกต่างดังกล่าว อาจเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงด้านภาษี และเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันด้านราคา สำหรับ C ที่สองนี้ ผู้ประกอบการควรพิจารณาประเด็นต่อไปนี้

• จากพิกัดศุลกากรของสินค้า (HS Code: Harmonized System Code) ที่ถูกต้อง มีสินค้ารายการใดของบริษัทที่พิกัดศุลกากรเหล่านั้นอยู่ในรายการยกเว้นที่ไม่ต้องเสียภาษีตอบโต้หรือไม่

• มีความเป็นไปได้ในการแยกหรือลดฐานราคาที่สำแดงขณะนำเข้าตามกฎของศุลกากร (Cost unbundling) หรือไม่  ซึ่งจะช่วยลดฐานภาษีศุลกากรและภาษีตอบโต้ได้

• บริษัทสามารถลดต้นทุนจากการผลิตสินค้าที่เกิดขึ้นในห่วงโซ่อุปทานได้อย่างไร

• ปัจจุบันบริษัทใช้ “ข้อกำหนดการค้าระหว่างประเทศ (Incoterms: International Commercial terms)” ใดกับผู้ซื้อ และการเปลี่ยนเงื่อนไข เช่น เปลี่ยนจาก Delivered Duty Paid (DDP) เป็น Free on Board (FOB) จะช่วยลดผลกระทบจากโครงสร้างภาษีใหม่ได้หรือไม่

• มีสิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากรใดที่สามารถใช้เพื่อลดผลกระทบจากภาษีตอบโต้หรือไม่

• บริษัทสามารถปรับเปลี่ยน Supply chain บางส่วนเพื่อใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี หรือ Free Trade Agreements (FTAs) ที่ไทยมีอยู่ได้หรือไม่

• การปรับโครงสร้างต้นทุนจะมีผลกระทบต่อภาษีอากรอื่น ๆ อย่างไรบ้าง

3. Compensation Review หรือการทบทวนกลไกการชดเชย

แนวทางสุดท้ายใน 3C ที่ผู้เขียนอยากชวนให้พิจารณา คือ การประเมินระดับอัตรากำไร (Profit margin) ว่าธุรกิจสามารถ รักษาหรือปรับเปลี่ยนได้เพียงใด เพื่อรองรับผลกระทบจากภาษีตอบโต้จากสหรัฐฯ ขั้นแรก ผู้ประกอบการควรพิจารณาว่าอัตรากำไรในปัจจุบันยังเพียงพอที่จะรองรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ หากพบว่าได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ อาจจำเป็นต้องปรับโครงสร้างราคา หรือทบทวนเงื่อนไขทางการค้าเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน ในบางกรณี ภาคธุรกิจอาจต้องทำการศึกษาเปรียบเทียบ (Benchmarking Study) เพื่อประเมินว่าอัตราการจัดสรรกำไรที่ใช้อยู่นั้นยังเหมาะสมหรือไม่ โดยเฉพาะหากการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีส่งผลกระทบต่อราคาซื้อขายระหว่างกันหรือ เกี่ยวข้องกับธุรกรรมข้ามประเทศ สำหรับ C สุดท้ายนี้ ผู้ประกอบการควรพิจารณาประเด็นดังต่อไปนี้

• สัดส่วนกำไรปัจจุบันเพียงพอที่จะรองรับต้นทุนภาษีที่เพิ่มขึ้นหรือไม่

• เงื่อนไขทางการค้าระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายในปัจจุบันยังตอบโจทย์ธุรกิจอยู่หรือไม่

• การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างราคาจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับลูกค้ารายหลักหรือไม่

• หากมีการเปลี่ยนแปลงในธุรกรรมระหว่างบริษัทในเครือ จะเสี่ยงต่อการถูกกรมสรรพากรตั้งคำถามหรือไม่ และการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจำเป็นต้องจัดทำการศึกษาเปรียบเทียบใหม่เพื่อสนับสนุนการจัดสรรกำไรที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่

แนวทาง “3C” ที่ผู้เขียนได้นำเสนอ เป็นเครื่องมือเบื้องต้นที่ผู้ประกอบการไทยต้องนำไปพิจารณาและปรับใช้ทันที เพื่อรับมือกับสถานการณ์ภาษีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเป็นระบบ ผู้เขียนขอฝากไว้ว่า ผู้ประกอบการที่เริ่มปรับตัวและดำเนินมาตรการเชิงรุกตั้งแต่วันนี้ย่อมมีโอกาสสร้างความยืดหยุ่นให้ธุรกิจ พร้อมพลิกวิกฤตจากภาษีตอบโต้นี้ให้เป็นแรงผลักดันในการทบทวนกลยุทธ์ ปรับมุมมองการดำเนินธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อสร้างข้อได้เปรียบ และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าและพันธมิตรทางการค้าใหม่ ๆ เพื่อยกระดับขีดความสามารถของธุรกิจในระยะยาว

หมายเหตุ: บทความนี้เขียนโดย อภิสิทธิ์ ปิ่นมณีกุล หัวหน้าฝ่ายภาษี เคพีเอ็มจี ประเทศไทย และ โสภณ ดุลยรัศมี กรรมการบริหาร ที่ปรึกษาภาษี เคพีเอ็มจี ประเทศไทย