‘รัฐ-เอกชน-การเงิน’ ผนึกกำลัง ยกระดับไทยพลิกฟื้น ‘เศรษฐกิจ’

“รัฐ-เอกชน-การเงิน” ผนึกกำลัง ภายใต้ Reinvent Thailand – A Platform for Sustainable Policy Execution เป็นเวทีร่วมสร้างอนาคตประเทศไทยอย่างยั่งยืนเพื่อทุกคน กลไกใหม่ฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย สร้างความยั่งยืน ลดเหลื่อมล้ำ และยกระดับขีดความสามารถแข่งขันประเทศ
ล่าสุด สมาคมธนาคารไทยได้เปิดเผย “ร่างพิมพ์เขียว” ความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่างคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ภายใต้ชื่อ Reinvent Thailand – A Platform for Sustainable Policy Execution เป็นเวทีร่วมสร้างอนาคตประเทศไทยอย่างยั่งยืนเพื่อทุกคน ถือเป็นกลไกใหม่เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยและสร้างความเชื่อมั่นต่ออนาคตประเทศ
การริเริ่มดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการหารือร่วมระหว่างกกร. และธปท. เมื่อ 11 ก.ค. 2568 มีเป้าหมายเพื่อประเมินผลกระทบนโยบายการค้าในแต่ละภาคธุรกิจ รวมถึงผลต่อภาคผลิตโดยรวม พร้อมหาแนวทางบรรเทาผลกระทบระยะสั้น และวางรากฐานปรับตัวเพื่อเสริมศักยภาพแข่งขันไทยระยะยาว
แพลตฟอร์มนี้ ชี้ว่า เศรษฐกิจไทยท่ามกลางบริบทท้าทาย เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญแรงกดดันทั้งปัจจัยภายในและนอกประเทศ ภายนอกมีความท้าทายรุนแรง ส่วนภายในมีความเปราะบางสูง หากไม่เร่งแก้ไขร่วมกัน
อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและศักยภาพการเติบโตของประเทศ ความเหลื่อมล้ำสูง ระหว่างธุรกิจขนาดใหญ่กับเอสเอ็มอี และครัวเรือนรายได้สูงกับรายได้ต่ำหนี้ครัวเรือนสูง คนไทยกว่า 1 ใน 3 มีหนี้ในระบบ และยังมีอีกจำนวนมากเป็นหนี้นอกระบบ
การมีเศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่ ทำให้การจัดเก็บภาษีและการคุ้มครองแรงงานทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง นอกจากนี้ ยังเผชิญผลิตภาพแรงงานต่ำ สินค้าผลิตและส่งออกส่วนใหญ่ไม่ใช่สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง คุณภาพแรงงานไม่สอดคล้องกับเศรษฐกิจยุคใหม่การลงทุนภาคเอกชนยังต่ำ ขยายตัวเพียงราว 2% หลังวิกฤติโควิด-19
ด้านความสามารถดึงดูดลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ลดลง เทียบกับเวียดนามและอินโดนีเซีย หากดูด้านส่งออกโตช้า สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในหลายหมวดสินค้า เช่น ปิโตรเคมี สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม
ความท้าทายของรัฐที่รออยู่ ทั้งพลวัตการเปลี่ยนแปลงของโลกที่รวดเร็วและรุนแรง ความไม่แน่นอนทางการเมืองสูง ระบบราชการปรับตัวช้า ขาดข้อมูลและการเชื่อมโยงในการบริหารจัดการ ภาระการคลังของภาครัฐอยู่ในระดับสูง
เป้าหมายของการกำหนดพิมพ์เขียวร่วมกันนั้น เพื่อหวัง เศรษฐกิจเติบโตยั่งยืน แก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องมุ่งสู่ “โตขึ้นยั่งยืน แข่งขันได้ และเป็นธรรม ลดเหลื่อมล้ำ” โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ผ่านกรอบการทำงานหลัก 4 ประการ
1.รัฐ ต้องวางทิศทางและสร้างสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยต่อธุรกิจและจ้างงาน 2.เอกชน เป็นหัวหอกสำคัญในการปรับตัว แสวงหาโอกาสใหม่ สร้างนวัตกรรม และพัฒนาแรงงาน
3. การเงิน ต้องจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและตรงเป้าหมาย 4.กลไกร่วม กกร.-ธปท.-สศค.-สภาพัฒน์ ทำหน้าที่เป็น Policy Platform หรือ “เข็มทิศ” ขับเคลื่อนนโยบายร่วมกัน
โดยหลักการทำงาน Policy Platform เพื่อให้ความร่วมมือเกิดผลจริง วางกรอบทำงานชัดเจน ได้แก่
1.ระบุปัญหาและเสนอแนวทางแก้ไขร่วมกัน ตั้งต้นเป้าหมายสร้างมูลค่าเศรษฐกิจและการจ้างงาน
2.การขับเคลื่อนต้องมีเจ้าภาพชัดเจน แต่ละเรื่องต้องมีผู้รับผิดชอบหลัก ได้แรงหนุนจากผู้บริหารระดับสูง พร้อมคำมั่นร่วมกัน
3.การติดตามและประเมินผล ด้วยข้อมูลเชื่อถือได้ และกำหนด KPI ชัดเจน
ฟันเฟืองสำคัญสร้างการเปลี่ยนแปลง สิ่งสำคัญคือเรียงลำดับความสำคัญ โดยเลือกแก้ปัญหาที่ให้ผลลัพธ์สูงและเชื่อมโยงแรงจูงใจทุกภาคส่วน เช่น การแก้หนี้นอกระบบ ผ่านการออกแบบต้นทุนทางการเงินที่สมดุลกับความเสี่ยง พร้อมสนับสนุนจากรัฐ พลิกฟื้นอุตสาหกรรมยานยนต์ ผ่านมาตรฐาน Greenly Made by Thai (GMBT) Certification เพื่อยกระดับการผลิตและสามารถแข่งขัน
การเปลี่ยนผ่านเหล่านี้ ส่วนหนึ่งมาจาก การวางแม่แบบไปสู่การเปลี่ยนแปลง A Template for Change โดยมีหลายส่วนที่สำคัญ 1. ภาคเอกชน เป็นหน่วยหลักในการระบุปัญหา เสนอแนวทางการปรับตัว และระบุสิ่งที่ต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐและภาคการเงิน
2. อนุกรรมการร่วม (กกร.-ธปท.-สศช.-สศค.) ประเมินความพร้อมของธุรกิจ จัดทำแผนแก้ปัญหาและกำหนด KPI ชัดเจน 3. กกร. ชุดใหญ่และภาครัฐ พิจารณาและอนุมัติโครงการและแผนปฏิบัติ
4. เวทีร่วมระดับสูง เช่น รองนายกรัฐมนตรี ตัวแทนอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมตัดสินใจและสนับสนุนการปรับตัวของเอกชน
5. คณะอนุกรรมการกำกับและติดตามผล ทำหน้าที่รายงานความคืบหน้า วิเคราะห์อุปสรรค และปรับปรุงดำเนินงานต่อเนื่อง
กรณีศึกษา พลิกฟื้นอุตสาหกรรมยานยนต์ หนึ่งในตัวอย่างที่ถูกหยิบยกขึ้นคือการผลักดันมาตรฐาน GMBT เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน
โดยการพลิกฟื้นทั้งเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมต่างๆต้องอาศัยหลายภาคส่วนในการร่วมกันเปลี่ยนแปลง ทั้ง ภาคเอกชน ที่ต้องเพิ่มการใช้วัตถุดิบในประเทศแทนการนำเข้า ร่วมมือในห่วงโซ่อุปทาน โดยผู้ผลิตรายใหญ่ทำงานร่วมกับผู้ผลิตชิ้นส่วนเพื่อยกระดับเทคโนโลยี ภาคการเงิน สนับสนุนสินเชื่อเฉพาะ ขณะที่ ภาคประชาชน พัฒนาทักษะเพื่อทำงานในอุตสาหกรรมใหม่ เข้าสู่ตลาดแรงงาน และได้รับแรงจูงใจ
ก้าวต่อไป แพลตฟอร์ม Reinvent Thailand – A Platform for Sustainable Policy Execution หลังจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันกำหนดกรอบแก้ปัญหาเศรษฐกิจใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1.ความเปราะบางเชิงโครงสร้าง 2.ขาดความสามารถแข่งขันในโลกใหม่ 3.ความท้าทายของรัฐ
และยังจะเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่าง ๆ และบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เช่น สนค. เพื่อกำหนดกลยุทธ์การค้าระหว่างประเทศ ท่ามกลางความท้าทายมาตรการภาษีของสหรัฐ
สุดท้ายแล้วเป้าหมาย ไม่เพียงเป็นแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่ยังเป็น “เข็มทิศ” สร้างความร่วมมือระหว่าง รัฐ เอกชน และสถาบันการเงิน โดยมุ่งเศรษฐกิจไทยกลับมาโตยั่งยืน แข่งขันได้ในเวทีโลก และลดเหลื่อมล้ำในสังคมระยะข้างหน้า







