ลุ้นทองไทย‘ออลไทม์ไฮ’ใหม่ สมาคมค้าทองคำ จับตาสตอรี่บวก ก.ย.นี้

ลุ้นทองไทย‘ออลไทม์ไฮ’ใหม่ สมาคมค้าทองคำ จับตาสตอรี่บวก ก.ย.นี้

“ทองคำ” ปรับตัวขึ้นแรงเดือนก.ย. ทำราคา “สูงสุดใหม่” ทั้งในและต่างประเทศ บ่งชี้ผ่าน “ทองไทย” ระดับ 54,200 บาทต่อออนซ์ ขณะที่ “ทองโลก” ระดับ 3,539.11ดอลลาร์ต่ออนซ์ 

โดยมีปัจจัยสนุนจากการเข้าถือครองทองคำในฐานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย” เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกแย่ 

เริ่มต้นเดือนก.ย. ราคา “ทองคำ” พุ่งแรง ณ วันที่ 3 ก.ย.2568 เปิดตลาดราคาทองคำในประเทศพุ่ง 800 บาท ซึ่งทำ “สถิติสูงสุดรอบใหม่” (New High) รอบใหม่ที่ระดับ 54,200 บาท (ณ เวลา 15.50 น.) หลังราคาทองคำต่างประเทศ ทำระดับ “สูงสุดเป็นประวัติกาลครั้งใหม่” (All Time High) ที่ 3,537.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ลุ้นทองไทย‘ออลไทม์ไฮ’ใหม่ สมาคมค้าทองคำ จับตาสตอรี่บวก ก.ย.นี้

ความเคลื่อนไหวของ “ราคาทองไทย” วานนี้ (3 ก.ย.) นับเป็นการปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดรอบใหม่ ตั้งแต่เม.ย.-ก.ย. ที่ผ่านมา หลังจากราคาทองทำ All Time High ปีนี้ที่ระดับ 54,800 บาท ในเดือนเม.ย.68 และราคาทองต่างประเทศระดับ 3,496 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากนั้นราคาทองเคลื่อนไหวในกรอบ “แคบ” จนถึงกลางเดือนส.ค.ที่ผ่านมา และกระเตื้องขึ้น จนต้นก.ย. ราคาทองกลับมาพุ่ง

จากปัจจัยหนุน ทั้ง “ความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐ” สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับประเทศคู่ค้าต่างๆ , ภาษีนำเข้าสหรัฐ และเงินเฟ้อสหรัฐมีความเสี่ยงปรับขึ้น มีโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดลงดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น รวงถึงความเสี่ยงปัญหาความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างรัสเซียกับยูเครน ส่อประทุรุนแรงขึ้น

ปัจจัยข้างต้นเป็นจุดที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกกังวลความไม่นอนที่จะเกิดขึ้นระยะข้างหน้านี้ หันมาถือ “ทองคำ” เพิ่มขึ้น เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เพื่อป้องกันความเสี่ยงเงินเฟ้อและตลาดหุ้นผันผวน

นายพรีพงศ์ ฉัตร์ทอง ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยทองคำ สมาคมค้าทองทองคำ ให้มุมมองว่า แนวโน้มทองคำระยะถัดไปราคาทองไทยมีโอกาสปรับขึ้น ทำออลไทม์ไฮใหม่ ทะลุระดับ 54,800 บาท (เม.ย ที่ผ่านมา) “ได้ไม่ยาก” หากปัจจัยหนุนที่เป็นความเสี่ยงต่างๆ ต่อเศรษฐกิจสหรัฐชัดเจนขึ้น ทำให้เฟดมีแนวโน้มลดดอกเบี้ย หรือลดดอกเบี้ยมากว่าที่คาดในปีหน้า 

นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน เเอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) เปิดเผยว่าราคาทองนอกปรับตัวขึ้น ทำออลไทม์ไฮหลังจากที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้โพสต์ข้อความใน Truth Social ระบุถึงสาเหตุการตั้งภาษีกับอินเดียสูงถึง 50% เนื่องจากถูกอินเดียเอาเปรียบมาตลอด พร้อมกล่าวว่าการค้าระหว่างอินเดียและสหรัฐคือ “หายนะด้านเดียวอย่างสิ้นเชิง” ซึ่งการโพสต์ข้อความดังกล่าวได้สร้างสถานการณ์ตึงเครียดทางการค้าระหว่างอินเดียและสหรัฐ ทำให้เกิดแรงซื้อทองเข้ามาในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย

อย่างไรก็ดี หากมองถึงปัจจัยในหลากหลายด้าน ก็ยังมีน้ำหนักต่อการเคลื่อนไหวของทองคำในเชิงบวก โดยเฉพาะแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด ล่าสุด ตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจของสหรัฐ เช่น ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐนั้นอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ

อีกทั้ง “เจอโรม พาวเวล” ประธานเฟด ได้กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุม Jackson Hole ว่า “ความเสี่ยงด้านการจ้างงานกำลังเพิ่มขึ้น และภาษีศุลกากรทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับราคาเพียงครั้งเดียว ความสมดุลความเสี่ยงเปลี่ยนแปลงไป อาจจำเป็นต้องปรับนโยบาย” ทำให้นักลงทุนมั่นใจมากขึ้นว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้ ส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง จนเป็นปัจจัยหนุนหลักต่อราคาทองคำ

ทั้งนี้ ปีนี้เป้าหมายราคาทองคำไว้ที่โซน 3,500-3,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แม้ราคาจะทดสอบเป้าหมายแรกระดับ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ไปแล้วถึงสองครั้ง หากสามารถยืนแล้วไปต่อได้พร้อมปัจจัยพื้นฐานเข้ามาสนับสนุนจะมีเป้าหมายถัดไปที่ระดับ 3,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และระดับ 3,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามลำดับ

นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท MTS Gold แม่ทองสุก กล่าวว่า เราได้ปรับเป้าหมายราคาทองต่างประเทศ ใหม่ ในปีนี้ ที่ระดับ 3,650 ดอลลาร์ต่ออนซ์ หรือ ขยับขึ้นมาราว 200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังราคาพุ่ง All Time High หลังจากที่ราคาทองคำพักฐานมานานกว่า 4 เดือน โดยสามารถทะลุแนวต้านเดิมที่ 3,450 ดอลลลาร์ต่อออนซ์มาได้ และขึ้นมาทำ All Time High ได้เหนือ 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นการยืนยันการเข้าสู่ทิศทางขาขึ้นรอบใหม่ที่ชัดเจน

“การพุ่งขึ้นครั้งนี้ได้รับแรงหนุนจาก ความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีของทรัมป์ และ แนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยเฟด ในช่วงกลางเดือนกันยายนนี้ ที่จะทำให้นักลงทุนหันเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำมากขึ้นจากวานนี คาดว่าราคาทองคำจะมีแนวรับที่ 3,475ดอลลาร์ต่อออนซ์ และ แนวต้านระยะสั้นที่ 3,510- 3,530 ดอลลาร์ต่ออนซ์ เป็นจุดที่นักลงทุนควรจับตาอย่างใกล้ชิด”