เครดิตบูโรชี้ ‘ รถถูกยึด‘ ท่วมระบบ สัญญาณเตือน ศก.เปราะบางสูง

เปิดข้อมูลเครดิตบูโร พบสัญญาณ “รถถูกยึด” พุ่งกว่า 2 ล้านคัน กว่า 3.2 แสนล้านบาท จ่อถูกยึดอีก 7-8 แสนคัน สะท้อนภาวะ “เศรษฐกิจเปราะบางสูง” ด้าน “เครดิตบูโร” ชี้ “หนี้เสีย” ยังทะยานต่อเนื่อง ห่วง “คนรุ่นใหม่ก่อหนี้พุ่ง” และ “กลุ่มวัยเกษียณ” พบหันมาก่อหนี้เพิ่มขึ้น หลังเงินไม่พอใช้หลังเกษียณอายุ
KEY
POINTS
- เครดิตบูโร เปิดยอด 'รถถูกยึด'ไปแล้วกว่า 2.3 ล้านคัน และมีรถที่จ่อถูกยึดเนื่องจากค้างชำระ (กลุ่ม SM) อีกกว่า 8 แสนคัน สะท้อนวิกฤตสินเชื่อเช่าซื้อ
- หนี้เสีย ในระบบโดยรวมทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อส่วนบุคคล ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบการเงิน
- ปัญหาหนี้ครัวเรือนขยายวงกว้างไปยังกลุ่มเปราะบาง
- กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เริ่มเป็นหนี้ก่อนมีงานทำ และกลุ่มผู้สูงอายุน่าห่วง พบต้องกู้ยืมเพิ่มเพราะรายได้ไม่พอใช้จ่าย
สถานการณ์ “สินเชื่อเช่าซื้อ” ถือว่าเป็นประเด็น “น่าห่วง” และเผชิญวิบากกรรมต่อเนื่อง จากวิกฤติราคารถดิ่งปี 2567 ลามต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน อีกทั้ง ยังโดนวิบากกรรมจากเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ “พอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อ” น่าห่วงต่อเนื่อง
สอดคล้องกับข้อมูลเครดิตบูโร ที่พบว่า “รถถูกยึด” พุ่งตั้งแต่สิ้นปีถึงพ.ค. แล้วกว่า 2 ล้านคัน และมีรถที่จ่อถูกยึดอีกกว่า 8 แสนคัน ไม่เพียงเท่านั้น หนี้ครัวเรือนยังน่าห่วง เพราะ “สถานการณ์หนี้เสีย” ยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยกลุ่มที่ห่วงมากที่สุดคือกลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยหนุ่มสาวทียังไม่เริ่มทำงาน และกลุ่มวัยเกษียณที่พบว่าก่อหนี้สูงขึ้น หลัง “เงินไม่พอใช้”
แหล่งข่าวจากสถาบัรการเงิน กล่าวว่า จากข้อมูลบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) ณ พ.ค. 2568 พบว่า ดูรถที่ยึดภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจเปราะบางอยู่ระดับสูงต่อเนื่อง โดยภายใต้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ที่ 6.1 ล้านคัน พบว่ารวมกว่า 2.3 ล้านล้านบาท และหนี้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ 3.57 ล้านคัน ยอดหนี้กว่า 2 แสนล้านบาท
- รถถูกยึดแล้ว กว่า 2.3ล้านคัน
ในนี้ถูกยึดรถไปแล้วกว่า 2.3 ล้านคัน หรือบัญชี ซึ่งคิดเป็นมูลค่าหนี้รวมกว่า 3.23 แสนล้านบาท ตามมาตรา 574 หลังเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอล หรือค้างชำระหนี้เกิน 120 วัน โดยรถที่ถูกยึดมากที่สุด คือ รถจักรยานยนต์ ที่พบว่าถูกยึดไปแล้วตั้งแต่ สิ้น ธ.ค.ถึงพ.ค. อยู่ที่ 1,037,807 ล้านคัน คิดเป็นมูลค่าหนี้รวมกว่า 5.5 หมื่นล้านบาท
ถัดมาคือ รถยนต์ ถูกยึดไปแล้ว 867,039 คัน มูลหนี้รวม 268,882 ล้านบาท และรถกระบะ ถูกยึดแล้ว 483,883 คัน หรือ152,536 ล้านบาท
รถจ่อถูกยึดอีกกว่า 8 แสนคัน
นอกจากนี้ หากดูสถานะหนี้ใกล้เสีย หรือสินเชื่อที่อยู่ในกลุ่มจับตาเป็นพิเศษ (SM) หรือค้างชำระหนี้ 30 วันแต่ไม่เกิน 90 วันพบว่า ในกลุ่มนี้ มีรถที่เข้าข่ายว่าอาจจะโดนยึดในไม่ช้า ซึ่งได้แก่กลุ่มที่มีประวัติค้างชำระ 1-2 งวดแล้ว ถ้าชำระหนี้ไม่ได้ อีก 1-2 งวดจะถูกยึดรถ โดยรวมขณะนี้ กว่า 8 แสนคัน
แบ่งเป็น รถยนต์ 464,659 คันหรือ 161,441 ล้านบาท รถกระบะ 240,838 คัน หรือ 79,240 ล้านบาท และรถจักรยานยนต์ 176,121 คัน หรือ 8,560 ล้านบาท
สำหรับข้อมูลหนี้ ในข้อมูลเครดิตบูโร ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา พบว่า มีภาพรวมบัญชี (Account) โดยรวมอยู่ที่ 92.57 ล้านบัญชี ยอดคงค้างที่ 13.56 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีสถานะ SM (Special Mention) 1.73 ล้านบัญชี คิดเป็น 1.9% ของทั้งหมด คิดเป็นยอดคงค้างที่ 430,475 ล้านบาท คิดเป็น 3.2% ของยอดคงค้างรวม ๆ
- หนี้เสียทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง
ทั้งนี้ หากดูเฉพาะพอร์ตสินเชื่อที่เป็นหนี้เสียแล้วมีทั้งสิ้น 1,235,794 ล้านบาท คิดเป็น 9.1% ของยอดคงค้างรวม ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หากเทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้าๆ โดยเฉพาะไตรมาสแรก ที่หนี้เสียโดยรวมอยู่เพียง 1.188 ล้านล้านบาท และสิ้นปี 2568 ที่หนี้เสียอยู่ที่ 1.155 ล้านล้านบาทเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หากดูพอร์ตที่เป็นหนี้เสีย พบว่า แบ่งเป็นสินเชื่อส่วนบุคคล (พีโลน) ที่ 286,450 ล้านบาท โดยหนี้เสียเพิ่มขึ้น 6.39% จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 4.31% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และสินเชื่อเช่าซื้อ พบว่า หนี้เสียเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน โดยรวมอยู่ที่ 268,101 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.85% และ 5.35% จากไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันปีก่อน
ด้านสินเชื่อบ้าน หนี้เสียโดยรวมอยู่ที่ 240,327 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.59% และ 9.90% เครดิตการ์ด 69,734 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.36% และ 2.42% สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ พอร์ตหนี้เสียโดยรวมอยู่ที่ 12,795 ล้านบาท เพิ่มสูงมากกว่าพอร์ตอื่นๆ ที่ 17.06% และ 44.06%
- หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ดร.ลัษมณ อรรถาพิช ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้ หนี้ครัวเรือนปี 2568 มีมูลค่าอยู่ที่ 13.5 ล้านล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งสินเชื่อหลักที่ครัวเรือนประสบปัญหาในการชำระคือ สินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อยานยนต์
แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือ การเปลี่ยนแปลงในการชำระหนี้ของครัวเรือน ที่ในปัจจุบันนี้สินเชื่อส่วนบุคคลมีจำนวนสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่สินเชื่อเพื่อการเกษตรหรือสินเชื่อเพื่อการประกอบอาชีพกลับไม่มีการเจริญเติบโต
ทั้งนี้ หากดูข้อมูลหนี้ครัวเรือนไทยประมาณ 80% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด ซึ่งคิดเป็นมูลค่าประมาณ 13.5 ล้านล้านบาท จากยอดหนี้ครัวเรือนรวมทั้งประเทศกว่า 16 ล้านล้านบาท พบว่ามีหนี้ที่น่าห่วงมากขึ้น
โดยเฉพาะกลุ่มคนวัยหนุ่มสาวที่ยังไม่ทันเริ่มทำงาน แต่กลับมีการกู้ยืมสินเชื่อส่วนบุคคลแล้ว ซึ่งบ่งชี้ถึงปัญหาการเริ่มต้นชีวิตที่อาจแบกรับภาระหนี้ตั้งแต่ยังไม่มีรายได้มั่นคง
เครดิตบูโรห่วงผู้สูงอายุก่อหนี้พุ่ง
นอกจากนี้ กลุ่มที่น่าเป็นห่วงมากกว่าคือ กลุ่มผู้สูงอายุ ที่แม้จะผ่อนบ้านผ่อนรถมาตลอดชีวิต แต่ในช่วงหลังกลับมีการกู้สินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเงินไม่พอใช้ ดังนั้นสถานการณ์หนี้น่าเป็นห่วงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์
“แนวโน้มหนี้เสีย หากดูจากเส้นกราฟวันนี้กำลังปรับตัวสูงขึ้น บ่งชี้ถึงสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงภายใต้ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน กลุ่มที่เราห่วงมากขึ้น คือสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน เพราะหากลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ จะส่งผล กระทบต่อทั้งผู้กู้และผู้ให้กู้โดยตรง และมีความเสี่ยงสูงกว่าสินเชื่อที่มีหลักประกัน ในขณะที่สินเชื่อรถยนต์ (Auto Loan) แม้จะเป็น NPL แต่ก็ยังคงมีหลักประกันคือรถยนต์ที่สามารถยึดได้”
นอกจากนี้ ยังรวมไปถึง สินเชื่อภาคเกษตร ก็เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่มียอดหนี้เสียเพิ่มขึ้น และหากดูที่ผ่านมาพบว่าสินเชื่อภาคเกษตรจำนวนมากอยู่ภายใต้โครงการพักชำระหนี้ตลอดเวลา ซึ่งหมายความว่าแม้จะมีการพักชำระหนี้
แต่สถานะหนี้ก็ยังคงเป็นเอ็นพีแอลอยู่ในระบบ การพักชำระหนี้ทำให้ตัวเลขหนี้เสียของสินเชื่อเกษตรยังคงสูง และอาจไม่สะท้อนสถานะทางการเงินที่แท้จริงของลูกหนี้ได้อย่างถูกต้อง
สินเชื่อภาคเกษตรส่วนใหญ่มาจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ซึ่งเป็นผู้ให้สินเชื่อเกษตรรายใหญ่ที่สุด ลูกหนี้ภาคเกษตรที่อยู่ในโครงการพักชำระหนี้ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าจะหลุดจากสถานะหนี้เสียได้หรือไม่
- ร้องธปท.ผุดมาตรการ ‘คืนรถ-ปิดหนี้’
ล่าสุดแหล่งข่าวจากคณะอนุกรรมการแก้ไขหนี้สินรายย่อย โดยเฉพาะหนี้เช่าซื้อ กล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจมีความเปราะบางมากขึ้น ดังนั้นจึงอยากให้ภาครัฐ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้
โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อ ที่ต้องการคืนรถ โดยให้สามารถ “จบหนี้” ได้ โดยไม่ต้องมี “ติ่งหนี้” เนื่องจากปัจจุบัน แม้ลูกหนี้จะถูกแบงก์ หรือผู้ให้บริการสินเชื่อยึดรถไปแล้ว หลังค้างชำระเกิน 120 วัน แต่ก็พบว่ายังไม่สามารถปิดหนี้ได้ ยังมี “ติ่งหนี้” หรือหนี้ส่วนเกินที่ต้องชำระ และหนี้ส่วนหนี้กลายไปอยู่ใน “หนี้ที่ไม่มีหลักประกัน”
โดยเฉพาะ สินเชื่อรถ ที่ใช้ทำมาหากิน รถกระบะต่างๆ หากถูกยึดรถไปแล้ว และผู้กู้ยังขาดรายได้ ไม่มีกำลังในการชำระหนี้ ปัญหาหนี้ก็อาจยังไม่จบสิ้น
ดังนั้น จึงเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดู สินเชื่อเช่าซื้อ ให้สามารถหลุดพ้นจากการเป็นหนี้ได้ เมื่อคืนรถแล้ว
“วันนี้ที่ยังเป็นปัญหา คือคนที่ไปต่อไม่ไหว ไม่มีเงินชำระหนี้ ขาดรายได้ เมื่อถูกยึดรถ แล้วไม่สามารถปิดหนี้ได้ เขาก็ไม่สามารถชำระหนี้ได้ต่อเนื่อง ดังนั้นควรมีมาตรการช่วยเหลือกลุ่มหนี้ เช่น หากคืนรถแล้วสามารถจบหนี้ไปทันที ไม่ใช่คืนรถแล้วก็ยังไปไม่รอด เพราะหากเป็นแบบนี้ลูกหนี้อาจยิ่งไม่คืนรถ อาจเอารถหนี้ เอารถไปใช้จนพังแล้วปล่อยให้ถูกยึด ดังนั้นควรมีมาตรการเข้ามาดูแลกลุ่มนี้ จากการไม่มีรายได้ เพื่อให้สามารถคืนรถจบหนี้ คืนรถแล้วสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้”







