‘การเมือง’ เสี่ยงฉุดเรตติ้งไทย กรณีเลวร้าย ’มูดีส์‘ หั่นเครดิต-กดดัน กนง.ลดดอกเบี้ย 0.50%

‘การเมือง’ เสี่ยงฉุดเรตติ้งไทย กรณีเลวร้าย ’มูดีส์‘ หั่นเครดิต-กดดัน กนง.ลดดอกเบี้ย 0.50%

การเมืองไทยยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจ ‘โนมูระ’ มองกรณีเลวร้ายอาจถูก Moody's หั่นอันดับเครดิตในอีกไม่กี่ไตรมาส “นักเศรษฐศาสตร์” เชื่อแบงก์ชาติจะเร่งเครื่องผ่อนปรนการเงิน ‘สแตนชาร์ด’ มอง ต.ค.ลดดอกเบี้ย 0.5% “ซีไอเอ็มบีไทย” ชี้การเมืองไร้เสถียรภาพ เสี่ยงกระทบเครดิตเรตติ้งไทย

KEY

POINTS

  • นักวิเคราะห์ชี้ ความวุ่นวายทางการเมืองหลังการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีสร้างความไม่แน่นอน และอาจนำไปสู่การยุบสภา ซึ่งจะยิ่งกดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแออยู่แล้ว
  • สถานการณ์การเมืองที่ยืดเยื้อสร้างแรงกดดันกนง.อาจต้องลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก โดยนักวิเคราะห์บางส่วนคาดว่าอาจลดลงถึง 0.50% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
  • ชี้มีความเสี่ยงที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ "มูดีส์"อาจปรับลดอันดับเครดิตของไทยในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากปัญหาการเมืองที่เพิ่มขึ้นและเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำอย่างต่อเนื่อง
  • ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ เช่น การเบิกจ่ายงบประมาณและการลงทุน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือใช้พิจารณา

‘การเมือง’ เสี่ยงฉุดเรตติ้งไทย กรณีเลวร้าย ’มูดีส์‘ หั่นเครดิต-กดดัน กนง.ลดดอกเบี้ย 0.50%
 

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานเชิงวิเคราะห์เมื่อวันที่ 2 ก.ย.2568 ถึงการแข่งขันของพรรคการเมืองใหญ่ในประเทศไทยเพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งอาจมีวาระอยู่ได้เพียงไม่กี่เดือน บรรดานักเศรษฐศาสตร์ต่างมองเห็นความเสี่ยงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยที่เพิ่มขึ้น และมีโอกาสสูงที่อาจจะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงมากกว่าเดิม โดยบางสำนักคาดว่าอาจลดลงถึง 0.5% ในเดือนหน้า

ประเทศไทยตกอยู่ในบรรยากาศวุ่นวายทางการเมืองตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำพิพากษาให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง 
คำตัดสินดังกล่าวจุดชนวนให้เกิดการแข่งขันกันระหว่าง “พรรคเพื่อไทย” และ “พรรคภูมิใจไทย” เพื่อแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่

โดยทั้งสองพรรคต่างเร่งหาเสียงสนับสนุนจาก “พรรคก้าวไกล” ที่เรียกร้องให้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ภายในไม่กี่เดือน

“หากความไม่แน่นอนทางการเมืองนำไปสู่การยุบสภาเลือกตั้งใหม่ กระบวนการอาจยืดเยื้อออกไป และกดดันโมเมนตัมการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยที่กำลังอ่อนแรงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว”

นางลาวัลญา เวนกาเตศวรัน นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคาร OCBC ในสิงคโปร์ กล่าว เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งจากมาตรภาษีของประธานาธิบดีสหรัฐโดนัลด์ ทรัมป์ และการปะทะกันทางชายแดนกับกัมพูชา รัฐบาลประเมินว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2568 นี้ จะโตเฉลี่ยเพียง 2%

ซึ่ง “ต่ำกว่าครึ่ง” เมื่อเทียบกับการเติบโตของประเทศเพื่อนบ้านอย่าง “อินโดนีเซีย” และ “ฟิลิปปินส์”

จับตา ธปท.ลดดอกเบี้ยเพิ่ม

นับตั้งแต่เดือน ต.ค.2568 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปรวม 1.0% ทำให้อัตราดอกเบี้ยของไทยลดลงเหลือ 1.5% และระบุว่าจะพิจารณาลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม

หากเห็นแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจมีสัญญาณ “ชะลอตัวลงรุนแรงอย่างมีนัยสำคัญ” หรือเผชิญแรงกระแทกที่คาดไม่ถึง

“หากมีความล่าช้าในการดำเนินนโยบายและแรงกระแทกต่อความเชื่อมั่นยังดำเนินต่อ ธปท.อาจ ‘เร่งการผ่อนคลายทางการเงิน’ แต่ก็อาจจะลดดอกเบี้ยลงไม่ได้มากนัก เนื่องจากข้อจำกัดเชิงโครงสร้างและแรงกดดันจากภายนอก”

นางคริสตัล ตัน นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคาร ANZ กล่าวพร้อมคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยอีก 0.25% ในไตรมาส 4

นายทิม ลีฬหะพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายเศรษฐศาสตร์ประจำประเทศไทยและเวียดนาม ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) มีมุมมองที่ต่างออกไปจากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ โดยคาดว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยถึง 0.5% ในการประชุม กนง.วันที่ 8 ต.ค.นี้ โดยส่วนหนึ่งเนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อ

"การเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีไปเป็นพรรคการเมืองอื่น จะส่งผลกระทบต่อทิศทางนโยบายโดยสิ้นเชิง รวมถึงนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งอาจทำให้เกิดการสะดุดในระยะสั้น” นักเศรษฐศาสตร์สแตนชาร์ด กล่าว

เสี่ยงถูก Moody's หั่นเครดิต

โนมูระ โฮลดิงส์ อิงค์ ซึ่งก่อนหน้านี้คาดว่าอัตราดอกเบี้ยของไทย ณ สิ้นปีนี้จะลดลงต่ำกว่า 1% ได้เตือนความเสี่ยงที่ “อันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ” อาจถูกบริษัทจัดอันดับเครดิต “มูดี้ส์” (Moody's) ปรับลดลงในอีกไม่กี่ไตรมาสข้างหน้าจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ซบเซาลงอย่างต่อเนื่อง

ก่อนหน้านี้ในเดือน เม.ย.2568 มูดีส์ได้ปรับลดมุมมองอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยจากมีเสถียรภาพ (Stable) ลงมาเป็นเชิงลบ (Negative) เนื่องจากผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐที่อาจกระทบการค้าและการเติบโตของไทย

รวมถึงความไม่แน่นอนของโลกที่เพิ่มขึ้น และความท้าทายในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แต่ยังคงอันดับเครดิตของรัฐบาลไทยที่ Baa1หลังมีคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ

มูดี้ ได้ส์ระบุในบทวิเคราะห์ล่าสุดว่า การเมืองไทยที่แตกแยกหลายขั้ว ซึ่งมีลักษณะเป็นรัฐบาลผสมที่เปราะบางและมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง เป็นปัจจัยฉุดรั้งการลงทุนและทำให้การปฏิรูปที่จำเป็นต่อการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยต้องหยุดชะงัก

บลูมเบิร์กระบุว่ายังพอมีข่าวดีอยู่บ้างสำหรับประเทศไทย เมื่อสภาผู้แทนราษฎรผ่านงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ออกมาแล้ววงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท เริ่มมีผลวันที่ 1 ต.ค. นี้ และคาดว่าจะผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาในวันอังคาร ซึ่งช่วยผ่อนคลายความกังวลให้นักลงทุนว่าจะไม่เกิดปัญหางบประมาณชะงักงันเหมือนที่เคยเกิดขึ้นนานหลายเดือนเมื่อปี 2562

ระบบราชการพยุงเสถียรภาพประเทศ

บริษัทจัดอันดับเครดิต “เอสแอนด์พี โกลบอล เรทติ้งส์” (S&P Global Ratings) ระบุว่าในบันทึกล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ก.ย.ว่า ความผันผวนทางการเมืองหลังการถอดถอนนายกรัฐมนตรี

“ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อมุมมองความน่าเชื่อถือของไทยอย่างรุนแรง” 
รวมทั้งเอสแอนด์พีคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของรัฐบาลมากนัก เนื่องจาก “ระบบราชการของไทย” เป็นสถาบันที่ช่วยพยุงเสถียรภาพให้ประเทศมาได้นับตั้งแต่วิกฤตการณ์ทางการเมืองปี 2549

กระนั้น “ความตกลงทางการค้าระหว่างไทย-สหรัฐ” ที่อยู่ระหว่างการเจรจารายละเอียดอาจได้รับผลกระทบจากความไม่สงบทางการเมืองโดยเฉพาะหากมีการยุบสภา เนื่องจากสาระสำคัญบางส่วน เช่น การลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา

นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยอาจสะดุดลงในหลายด้านหากเกิดสภาวะอัมพาตทางการเมือง

“การเบิกจ่ายงบประมาณ การดำเนินโครงการลงทุน และข้อตกลงการค้ากับสหรัฐจะสะดุด หากเกิดสภาวะอัมพาตทางการเมือง” นายบุรินทร์กล่าว “ไม่มีข่าวดีเลย”

หวั่นการเมืองฉุดเครดิตเรตติ้ง

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMB) กล่าวว่า ในกรณีเกี่ยวกับการประเมินแนวโน้มเครดิตเรตติ้งของประเทศไทย จากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ที่อาจจะพิจารณาปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของไทยลง ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอนนั้น

“ไม่ใช่แค่เพราะประเทศมีปัญหาทางการเมืองโดยตรงเท่านั้น หากแต่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือมองเห็นถึงการเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดระหว่างการเมืองและเศรษฐกิจ”

ทั้งนี้การที่สถานการณ์ทางการเมืองเกิดการสะดุด ขาดเสถียรภาพ หรือประสบปัญหาใดๆ ก็ตาม ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผลกระทบเหล่านี้รวมถึงศักยภาพในการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อาจเติบโตได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น และปัญหาการเบิกจ่ายงบประมาณแผ่นดินที่ล่าช้า ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่บั่นทอนความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ

โดยเฉพาะหากรายได้ของประเทศเติบโตช้า ในขณะที่รายจ่ายยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์เช่นนี้จะนำไปสู่“ความเสี่ยง”ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยเหตุนี้เอง สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือจึงอาจพิจารณาปรับมุมมองต่อความเสี่ยงของประเทศไทยให้เป็นแนวโน้มเชิงลบ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณเตือนมากกว่าจะเป็นการหั่นอันดับความน่าเชื่อถือในทันที

“เศรษฐกิจโตต่ำ”การเมืองไร้เสถียรภาพ

ทั้งนี้ กรณีเกิดการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรีหรือการยุบสภา ซึ่งเป็นกระบวนการตามหลักประชาธิปไตยที่ประเทศอื่นก็มีเช่นกัน เชื่อว่าจะไม่นำไปสู่การหั่นอันดับความน่าเชื่อถือโดยอัตโนมัติ 

แต่สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ของประเทศไทยมีความละเอียดอ่อนและถูกจับตามองเป็นพิเศษ คือ ภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำมาเป็นระยะเวลานาน ปัจจัยเชิงโครงสร้างนี้เองที่ทำให้ความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมืองถูกพิจารณาอย่างเข้มข้นยิ่งขึ้น 

รวมทั้งเมื่อเศรษฐกิจเติบโตต่ำมานาน ความล่าช้าในการดำเนินการของรัฐบาล หรือปัญหาที่ส่งผลให้การเบิกจ่ายงบประมาณสะดุด ย่อมเป็นช่องทางที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถืออาจเข้ามาประเมินและออกคำเตือนได้

แม้ว่าในปัจจุบันร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 จะผ่านการพิจารณาของวุฒิสภาแล้ว แต่สิ่งสำคัญที่ต้องติดตามต่อไปคือกระบวนการเบิกจ่ายจริงและผลกระทบของการเบิกจ่ายนั้นว่าจะเป็นอย่างไร จะสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่ให้เติบโตต่ำได้หรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องจับตาดูแนวโน้มอย่างใกล้ชิด

สถานการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว โดยไม่ใช่แค่ TIS เท่านั้นที่ปรับลด Outlook แต่ S&P และ Fitch เองก็เคยมีการปรับลดมุมมองต่อประเทศไทยมาแล้วเช่นกัน

ทั้งนี้ ในมุมผลกระทบต่อเศรษฐกิจมองว่าหากมีการปรับลดแนวโน้มนี้อาจจะไม่รุนแรง ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดสถานการณ์เงินทุนไหลออกอย่างรุนแรง ค่าเงินบาทอ่อนค่าอย่างมีนัยสำคัญ หรือการเทขายหุ้นอย่างบ้าคลั่ง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพียงแนวโน้ม ซึ่งไม่ใช่ภาพของความเสี่ยงที่อยู่ในระดับสูง ดังนั้นเป็นเรื่องที่ประเทศไทยต้องเฝ้าระวังและดำเนินการปรับปรุงแก้ไข