ปัจจัยในประเทศผันผวน

ปัจจัยในประเทศผันผวน

ตัวเลข GDP ไตรมาส 2/68 ของไทยขยายตัว 2.8% ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ ทำให้มีการปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ทั้งปีขึ้นเป็น 1.8-2.3% เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองครั้งสำคัญ หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้คุณแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ โดยต้องอยู่รักษาการต่อไป บรรยากาศการลงทุนเข้าสู่โหมดระมัดระวังและคาดว่าจะซบเซา เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ การจัดตั้งรัฐบาล และโฉมหน้าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่

KEY

POINTS

  • คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 1.50% เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอตัวและปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อของกลุ่มเปราะบาง
  • ตัวเลข GDP ไตรมาส 2/68 ของไทยขยายตัว 2.8% ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ ทำให้มีการปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ทั้งปีขึ้นเป็น 1.8-2.3%
  • เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองครั้งสำคัญ หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้คุณแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ โดยต้องอยู่รักษาการต่อไป
  • บรรยากาศการลงทุนเข้าสู่โหมดระมัดระวังและคาดว่าจะซบเซา เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ การจัดตั้งรัฐบาล และโฉมหน้าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่
  • ปัจจัยการเมืองยังคงมีความเคลื่อนไหวจากคดีความต่างๆ เช่น การพิพากษายกฟ้องคุณทักษิณ ชินวัตร ในคดีมาตรา 112 และยังมีคดีอื่นที่รอการพิจารณา

ภาวะการลงทุนตลอดเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา ก็ดูค่อนข้างสงบนิ่งไม่หวือหวามาก มีช่วงตื่นเต้นบ้างนิดหน่อย แต่ก็ไม่มีอะไรมาก เริ่มจาก Reciprocal tariff ของไทยออกมาที่ 19% ก็ใกล้เคียงกับเพื่อนบ้านและคู่แข่งทางการค้า ตามมาช่วงกลางเดือนเราก็ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ตามมาด้วยตัวเลข GDP ของไทยที่ออกมาดีกว่าคาด ท้ายเดือน ก็ประมาณ เรื่อง คุณทักษิณ รอดจาก การกล่าวโทษ ม.112 สุดท้ายที่เป็นข่าวใหญ่ ก็ เรื่องที่คุณ ทรัมป์ สั่งปลด Fed Governor ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกในรอบร้อยปี ตามมาดูรายละเอียดกันนะครับ

เริ่มจากในประเทศสหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยไว้ที่ 19% ซึ่งเป็นอัตราภาษีเดียวกันกับประเทศเพื่อนบ้านหลายแห่ง เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา เป็นข่าวร้ายที่กลายเป็นข่าวดี คือ ดีใจที่โดนขึ้นภาษี 19% ถัดมาก็ กนง.มีมติปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 1.75% สู่ 1.50% ซึ่งต้องบอกว่าเยื้อนานมาก และช้ามาก แต่ก็ยังดีกว่าไม่มา การลดอัตราดอกเบี้ยรอบนี้ก็ถือว่าตรงใจนักลงทุนทุกประเภท

สาเหตุหลักที่ทำให้กนง. ปรับลดดอกเบี้ยในรอบนี้เพราะปัญหาที่มาจากการเข้าถึงสินเชื่อของกลุ่มคนเปราะบางและ SME ที่ลำบากมากขึ้นในช่วงที่ ภาวะเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอตัว ซึ่งมีสัญญาณเตือนมากขึ้นโดยเริ่มตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2568 และอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มต่ำกว่าคาดการณ์ทำให้การตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยสอดคล้องกับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อด้วย 

ตามมาติดๆ ก็ข่าวดีนิดหน่อย สภาพัฒน์ฯ รายงานตัวเลข GDP ไตรมาส 2/68 ของไทยขยายตัวที่ 2.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรก ดีกว่าที่นักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์เล็กน้อย ที่น่าสนใจคือการปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปีนี้จากเดิมขยายตัวในกรอบ 1.3-2.3% เป็น 1.8-2.3% 

สาเหตุของการปรับเพิ่ม GDP ปีนี้ขึ้นส่วนใหญ่เป็นการปรับไล่หลัง นั่นก็คือการการส่งออกสินค้าปีนี้เป็น 5.5% จากเดิม 1.8% สำหรับคาดการณ์เงินเฟ้อปีนี้ที่ออกมาลดลงเล็กน้อยจาก 0.5% เป็น 0.3% ส่งออกที่พุ่งสูงเกินคาดในช่วงครึ่งปีแรก ก็มาจากจากปรากฏการณ์ เร่งตุนสินค้าก่อนภาษีใหม่ โดยในรอบนี้สภาพัฒน์ฯขยับคาดการณ์การขยายตัวของมูลค่า ปลายเดือนก็เรื่องการเมือง พิพากษายกฟ้องคุณ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่มีความผิดคดีมาตรา 112 แต่ที่พีค สุด ก็คงหนีไม่พ้นคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญ ที่วินิจฉัยให้ คุณ แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุด และรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ แต่ต้องอยู่รักษาการ ก็ลุ้นกันน่าดู

ภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่มีอะไรใหม่เพราะงบประมาณผ่านแล้ว ประเด็นภาษีสหรัฐฯมีความชัดเจน อีกทั้ง ชายแดนไทย-กัมพูชา หยุดยิงเรียบร้อย ทิศทางดอกเบี้ยก็ลดลงที่จะมีประเด็นก็เรื่องบรรยากาศการลงทุนที่เข้าสู่โหมดระมัดระวัง เพราะไม่รู้พรรคร่วมรัฐบาล จะเปลี่ยนหรือไม่ ใครจะเป็น นายกรัฐมนตรีคนถัดไป รวมทั้งหน้าตา ครม.ชุดใหม่ บรรยากาศการลงทุนจากตรงนี้ไปผมมองว่าก็น่าจะซึมยาวๆ

ท้ายสุดก็เรื่องของต่างประเทศ ประมาณว่าสะท้านโลก คือ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศปลด Lisa Cook ออกจากตำแหน่ง FED Governor โดยให้เหตุผลถึงความไม่น่าเชื่อถือที่เธอถูกกล่าวหาว่าอาจเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงสินเชื่อจำนอง ก่อนจบตรงนี้ มีคำพูดของประธาน FED ที่ออกมา ณ การประชุมเมือง แจ็คสัน โฮล ออกมาในทิศทางที่ผ่อนคลายมากขึ้น โดยตระหนักถึงภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯที่มีความเสี่ยงขาลงเพิ่มขึ้น และเปิดโอกาสให้ FED ต้องปรับเปลี่ยนท่าทีนโยบายการเงินในช่วงถัดไป

ภาพการลงทุนในเดือน กันยายน คาดว่าจะผันผวนไปกับปัจจัยใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ โดยปัจจัยต่างประเทศคงหนีไม่พ้นการประชุม FOMC ในวันที่ 16-17 ก.ย. โดยประเมินว่า Fed จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% และอาจทำให้ค่าเงินสหรัฐฯ อ่อนค่าต่อไป ในฝั่งของปัจจัยภายในประเทศนั้น คงหนีไม่พ้นเรื่องการเมือง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องว่าใครจะเป็น นายกรัฐมนตรีคนใหม่ พรรคร่วมรัฐบาลจะเปลี่ยนหรือไม่ และหน้าตา ครม. ชุดใหม่จะเป็นอย่างไร ยังไม่รวมการพิพากษาของศาลฎีกาฯคดีคุณทักษิณกรณีชั้น 14 แต่ข้อโชคดีประการหนึ่งก็คือว่า ปัจจัยการเมืองเหล่านี้คงจะไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆต่อภาพการใช้จ่ายภาครัฐในช่วงถัดไปมากนัก หลังจากที่ร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 เตรียมที่จะถูกผลักดันออกมาเป็นกฎหมายเร็วๆ นี้