นักเศรษฐศาสตร์หวั่น ‘ยุบสภา‘ กระทบเบิกจ่าย-นโยบายสะดุด

นักเศรษฐศาสตร์หวั่น ‘ยุบสภา‘ กระทบเบิกจ่าย-นโยบายสะดุด

“นักเศรษฐศาสตร์” เตือนตั้งรัฐบาลล่าช้า กระทบต่อการเบิกจ่ายงบปี 69 ฉุด “เศรษฐกิจดิ่งแรง” เสี่ยงถูกหั่นเครดิตเรตติ้ง “ไพบูลย์ นรินทรากูร” ชี้หุ้นไทยรอความชัดเจนจัดตั้งรัฐบาลใหม่สัปดาห์นี้ คาด “ชัยเกษม” ตัวเลือกนายกฯ ขัดตาทัพ เร่งทำผลงานท่ามกลางแรงกดดันยุบสภาฯ

KEY

POINTS

  • อมรเทพ หวั่นการเมืองนำไปสู่ "การยุบสภา" อาจกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว
  • พิพัฒน์ ชี้รัฐบาลใหม่ที่อาจมีอายุสั้นจะทำให้การผลักดันนโยบายสำคัญทำได้ไม่เต็มที่และอาจเกิดภาวะเกียร์ว่าง
  • ไพบูลย์ ห่วงการยุบสภาอย่างเร่งรีบในขณะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ อาจส่งผลลบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและกดดันตลาดทุนได้
  • สรพล  ชี้แม้จะมีความผันผวนทางการเมือง แต่ผลกระทบด้านลบต่อเศรษฐกิจอาจมีจำกัด เนื่องจากงบประมาณปี 2569 ได้ผ่านสภาไปแล้ว

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่าสถานการณ์การเมืองไทยล่าสุดเริ่มมีความชัดเจน แต่สิ่งที่ต้องติดตามหลังจากนี้คือการตั้งชุดรัฐบาลใหม่

โดยเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรี เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับภาคเอกชนและนักลงทุนคือ ความชัดเจนและเสถียรภาพของรัฐบาล ไม่ใช่การเลือกข้างทางการเมืองคาดว่าภายในสัปดาห์หน้า จะมีการประชุมรัฐสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และจะเห็นความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาลได้เร็ว ๆ นี้

ซึ่งหากแต่งตั้งได้เร็วจะช่วยลดความไม่แน่นอนและสร้างกรอบมุมมองทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้นได้

อย่างไรก็ตามมองว่าโจทย์หลักของรัฐบาลชุดต่อไปเป็นสิ่งที่ “ยากมาก” เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดสะท้อนการชะลอตัวในหลายภาคส่วน ทั้งการบริโภค การลงทุน การท่องเที่ยว และการค้าต่างประเทศ ภาคเอกชนจึงต้องการนโยบายที่เป็นรูปธรรม สามารถสร้างความเชื่อมั่นและผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว

ดังนั้น หากตั้งรัฐบาลล่าช้าอาจกระทบต่องบประมาณปี 2569 ได้ และทำให้เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 สะดุดได้ ซี่งอาจนำไปสู่ ความเสี่ยงที่อาจถูกหั่นแนวโน้มความน่าเชื่อถือของประเทศ (Credit Rating Downgrade)

“ผมว่าใครจะมาก็คงไม่หนีไปกว่าที่หลายคนประเมินไว้ แต่โจทย์ขณะนี้ท้าทายมาก เพราะเราไม่มีเวลารอแล้ว รัฐบาลที่จะเข้ามาใหม่คงไม่มีเวลาฮันนีมูน กลับกันยิ่งต้องเร่งทำงานตั้งแต่ก่อนรับตำแหน่งด้วยซ้ำ ไม่เช่นนั้นเศรษฐกิจอาจเสี่ยงสะดุดไปมากกว่านี้ และเราจะวิ่งตามประเทศอื่น ๆ ไม่ทัน”

  • จับตาความเสี่ยงสำคัญ “เสถียรภาพรัฐบาล”  

หนึ่งในความเสี่ยงที่สำคัญและต้องจับตาดูในระยะต่อไปคือเรื่องของ เสถียรภาพของรัฐบาล ว่าจะรวบรวมเสียงสนับสนุนได้มากน้อยเพียงใด เพราะหากเสียงปริ่มน้ำ อาจนำไปสู่ปัญหาในการบริหารหลายด้าน สิ่งที่น่าเป็นห่วงเป็นพิเศษคือ ความยากลำบากในการผ่านร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรวมถึงการผ่านร่างพระราชบัญญัติต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการพัฒนาและบริหารประเทศ

นอกจากนี้ ยังรวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ภาครัฐอาจต้องการนำมาใช้เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ก็อาจเผชิญกับอุปสรรคในการอนุมัติและบังคับใช้ ผลลัพธ์โดยรวมของสถานการณ์เหล่านี้คือ เศรษฐกิจไทยอาจไม่สามารถเดินหน้าได้อย่างเต็มศักยภาพที่ควรจะเป็น

หรือกรณีร้ายแรงที่สุด หากสถานการณ์นำไปสู่การ “ยุบสภา”ภายใน 2-3 เดือน แม้เศรษฐกิจยังสามารถเดินหน้าต่อได้ จากการผ่านร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายไปแล้ว แต่อาจกระทบต่อหลายภาคส่วนทั้งภาคการก่อสร้าง โครงการภาครัฐต่าง ๆ อาจชะลอตัว

นอกจากนี้อาจกระทบมาตรการการเบิกจ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่คาดว่าจะมีความสำคัญในช่วงที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวในปีหน้า ก็อาจได้รับผลกระทบในระยะสั้น

  • รัฐบาลใหม่อายุสั้น หวั่นทำให้เกิดเกียร์ว่าง

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งนี้ ถือว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย “ข้อดี” คือ ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ที่เคยมีความไม่ชัดเจน ทำให้ทุกอย่างอยู่ในโหมดชะลอ

ดังนั้นความชัดเจนที่มากขึ้น จึงเป็นความหวังว่าจะช่วยให้กระบวนการต่าง ๆ เดินหน้าต่อไปได้
แต่ “ข้อเสีย” ที่สำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เพิ่มความไม่แน่นอนทางการเมือง (Political Uncertainty) ในระยะยาว

โดยหากดูประวัติศาสตร์ทางการเมืองในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาว่า ที่ศาลปลดนายกรัฐมนตรีเป็นคนที่ 4 แล้ว ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างและความผันผวนทางการเมืองที่ยังคงดำเนินอยู่

ทั้งนี้แม้ว่าทิศทางหลังจากนี้ในระยะสั้นอาจดูเหมือนมีความชัดเจนขึ้นแต่รัฐบาลที่จะเข้ามาในระยะข้างหน้าอาจมีอายุสั้นซึ่งจะทำให้การผลักดันนโยบายต่าง ๆ อาจทำได้ไม่มาก ทำให้เกิดเกียร์ว่าง หรือไม่สามารถตัดสินใจหรือผลักดันนโยบายใหม่ ๆ ที่สำคัญได้เต็มที่

เชื่อว่าการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีในเวลานี้ อาจไม่ทำให้ภาพเศรษฐกิจเปลี่ยนไป เพราะไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลชุดใหม่ก็จะยังคงอยู่ในสภาวะที่อ่อนแออยู่ดี”

และสิ่งที่กังวลในระยะข้างหน้าคือ หากเกิดความล่าช้าในการแต่งตั้งรัฐบาล อาจกระทบต่องบประมาณล่าช้าซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ และอาจทำให้เศรษฐกิจไทยเผชิญกับสิ่งที่เคยเจอเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา ที่งบประมาณการเบิกจ่ายล่าช้าไป 4-6เดือน หากวุฒิสภาไม่ผ่านงบประมาณ ที่จะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเศรษฐกิจไทย

“ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยจากประเด็นทางการเมืองก็ยังจะสูง แต่เป็นความเสี่ยง ที่เป็น uncertainty มากกว่า เพราะสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ไม่ใช่ความเสี่ยงในเชิงที่คาดเดาผลลัพธ์ได้ แต่เป็นความไม่แน่นอนที่เราไม่รู้ว่าสถานการณ์จะออกมาในทิศทางใด”

  • “ไพบูลย์” ชี้หุ้นไทยรอความชัดเจนตั้งรัฐบาล

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด และนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) กล่าวว่า การตัดสินปมคลิปเสียงอดีตนายกฯ แพทองธารถือว่า “ไม่ผิดคาด”

ดังนั้นผลต่อตลาดหุ้นไทย “ดาวไซด์จำกัด” รับข่าวล่วงหน้าแล้วรอลุ้นเลือกนายกฯ ใหม่ยกเว้นเกิดความล่าช้า ซึ่งจะทำให้หุ้นไทยยังผันผวนได้ต่อ 

ทั้งนี้ มองฉากทัศน์การเมืองว่า แม้จะมีรายงานอาการป่วยของ “นายชัยเกษม นิติสิริ” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย แต่ตามสัญญาณจากพรรคยังคงชี้ว่า เขาเป็นตัวเลือกหลักในการขับเคลื่อนเกมการเมืองช่วงเปลี่ยนผ่าน และไทม์ไลน์การยุบสภาฯ เชื่อว่า พยายามยื้อเวลาให้นานที่สุด

โดย “นายชัยเกษม” คงเข้ามาเพื่อสร้างผลงานและฟื้นคะแนนนิยมก่อนเข้าสู่สนามเลือกตั้งใหม่ ซึ่งอาจเกิดขึ้นเร็วสุดในต้นปี 2569 

ฉากทัศน์ดังกล่าว ตลาดหุ้นไทยยังไปต่อได้ แตะระดับ 1,300 จุด มีโอกาสดาวน์ไซด์จำกัด เพราะยังมีปัจจัยบวกจากงบประมาณปี 2569 ผ่านสภาฯ ไปแล้ว คาดเร่งเบิกจ่ายภาครัฐได้ทันในไตรมาส 4 ปีนี้ และกำไร บจ.ไตรมาส 2 ปีนี้ ยังเติบโตได้ดีแม้ตัดรายการพิเศษ ออกไป โดยครึ่งปีแรกเติบโต 18% และราคาหุ้นไทยยังอยู่ในระดับน่าสนใจ

นายไพบูลย์ กล่าวว่าการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย สามารถทำได้ หากเศรษฐกิจอยู่ในจังหวะฟื้นตัวดี ตลาดหุ้นอาจตอบรับในเชิงบวก หากมีความชัดเจนทางนโยบายและผู้นำที่มีเสถียรภาพในระยะข้างหน้า

แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ความท้าทายยังรุมเร้า ทั้งจากภาวะเงินเฟ้อ การส่งออกชะลอตัว และความไม่แน่นอนทางการเมือง หากเกิดการยุบสภาอย่างเร่งรีบโดยไร้ฉันทามติจากพรรคร่วมรัฐบาล อาจส่งผลลบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน และกดดันตลาดทุนให้ปรับตัวลงได้เช่นกัน

รวมถึง พรรคประชาชนซึ่งมีท่าทีต้องการเลือกตั้งใหม่ อาจเร่งเวลาให้เร็วขึ้น ขณะที่พรรคร่วมบางส่วนยังลังเลกับการโหวตนายกฯคนใหม่ ความไม่ลงรอยนี้อาจเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเร็วกว่าที่คาดได้

“ระยะสั้น สายตานักลงทุนและประชาชนยังจับจ้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ และความสามารถของ ชัยเกษม ในการฟื้นตัวและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หากเขาได้รับการเสนอชื่ออย่างเป็นทางการ คาดว่าตลาดหุ้นไทยยังไปต่อได้

  • หุ้นไทย” รอความชัดเจนนายกฯใหม่ 

นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์จากนี้ต้องติดตามการเลือกนายกฯ และจัดตั้งรัฐบาลใหม่ คาดว่าระยะเวลาที่จะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ได้ใน 30 วัน อิงจากยุครัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน เข้าปฏิบัติหน้าที่ 

ทั้งนี้ หลังจากศาลฯ มีคำวินิจฉัย “แพทองธาร” พ้นจากตำแหน่งนายกฯ เมื่อวันที่ 29 ส.ค. พบว่า ดัชนีหุ้นไทย “ไม่เปลี่ยนแปลง” และ “เงินบาทอ่อนค่า” ลงราว 2-3%  ส่วนแนวโน้มหุ้นไทยในช่วง 30 วันจากนี้ คาดว่า over hang ไม่ปรับตัวลงแรง มีความผันผวนระยะสั้น ๆ ตลอดเดือน ก.ย.นี้ เพื่อรอความชัดเจน เลือกตัวนายกฯ และจัดตั้งรัฐบาลใหม่

อย่างไรก็ตามด้วยงบประมาณปี 2569 ผ่านสภาฯ แล้ว ทำให้ดาวน์ไซด์ต่อเศรษฐกิจอาจจะมีจำกัด โดยมองกรอบดัชนีหุ้นไทยเดือน ก.ย.ที่ระดับ แนวรับ 1,190 จุด และแนวต้าน 1,275 จุด (EPS 88, PE 13.60จุด, -0.75SD) ดาวน์ไซด์จำกัด

“คาดว่า กลางสัปดาห์นี้อาจจะมีการเปิดสภาฯ เลือกตัวนายกฯ และไม่ว่าจะรัฐบาลชุดไหนก็แล้วแต่ตามสถิติตลาดหุ้นไทยจะตอบรับเป็นกลาง ไม่ปรับขึ้นหรือลง แม้จะมีความผันผวนจากความกังวลการเมืองขณะจัดตั้งรัฐบาลใหม่แต่ยังมีปัจจัยบวกทั้งงบประมาณปี 2569 ผ่านสภาฯ แล้วและกำไรบริษัทจดทะเบียนยังเติบโตดีมีรายการพิเศษกลุ่มปตท.เข้ามา”


สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในระยะสั้น ๆ เมื่อ SET Index ปรับตัวย่อลงมา มองเป็นโอกาสทยอยเข้าลงทุนสะสม ในกลุ่ม “หุ้นแบงก์” ยังมีปันผลและปันผลระหว่างกาลที่ประกาศแล้ว (KKP,KTB) และกลุ่ม “หุ้นไอซีที” (TRUE) ราคาหุ้นปรับลงมาสู่ระดับที่น่าสนใจเมื่อเทียบกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ทั้งหมดและกำไรปีหน้าเติบโตสูง 35-40%

ซึ่งปรับตัวลงมา แต่มองว่า ดาวน์ไซด์ยังจำกัด และในระยะสั้นๆ หากมีความกังวลปัจจัยการเมืองในประเทศ ทำให้ “หุ้นที่ผลประกอบการขึ้นอยู่กับปัจจัยเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก” (Global Play) โดยพึ่งพาตลาดต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ เช่น กลุ่มปิโตรเคมี (PTTGC) ยังมีความน่าสนใจ

ด้านปัจจัยที่ต้องติดตามนอกจากปัจจัยในประเทศ คือธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด จะประกาศ Dot pot ใหม่ของปี 2569  วันที่ 16-17 ก.ย.นี้ หากการประกาศทิศทางดอกเบี้ยของเฟดในปีหน้าปรับตัวลงมากกว่า 1 ครั้ง เช่น 2-3 ครั้ง

เป็นปัจจัยหนุนฟันด์โฟลว์ยังมีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียรวมถึงไทย และยังช่วยจำกัดดาวน์ไซด์จากปัจจัยการเมืองไทยด้วยเช่นกัน และหากมีอัพไซด์จากการส่งออก ช่วง 7 เดือนแรกปีนี้โต 14% ทำให้เรามีโอกาสปรับมุมมองจีดีพีไทยปีนี้มากกว่าเดิมคาดไว้ที่โต 1.5%

“ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟันด์โฟลด์ชะลอในระยะสั้นหากสามารถจัดตั้งรัฐบาลชุดได้ใหม่ ฟันด์โฟลว์ยังมีโอกาสทยอยไหลกลับเข้าในตลาดหุ้นไทย จากปัจจัยทิศทางดอกเบี้ยเฟดปรับตัวลง โดยเฉพาะdot pot ปีหน้าหากปรับลงได้ 2-3 ครั้ง ดอลลาร์อ่อนค่าหนุนฟันด์โฟลว์ไหลกลับมาในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียรวมถึงตลาดหุ้นไทยได้ต่อเนื่อง”