ศก.ไทยเผชิญ ‘โรคเรื้อรัง’ ต้องแก้พื้นฐาน ไม่ใช่กระตุ้นระยะสั้น ย้ำ ‘แบงก์ชาติ’ ไม่ใช่หอคอยงาช้าง

ศก.ไทยเผชิญ ‘โรคเรื้อรัง’  ต้องแก้พื้นฐาน ไม่ใช่กระตุ้นระยะสั้น  ย้ำ ‘แบงก์ชาติ’ ไม่ใช่หอคอยงาช้าง

เปิดบทสัมภาษณ์ส่งท้าย ‘เศรษฐพุฒิ’ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ กับ 5 ปีที่ยาวนาน และท้าทาย ชี้เศรษฐกิจไทยป่วยเรื้อรัง ต้องเร่งแก้พื้นฐาน แก้โครงสร้าง อย่ามองแค่ปัจจัยระยะสั้น

KEY

POINTS

  • ผู้ว่าแบงก์ชาติชี้ เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่หยั่งรากลึกเปรียบเสมือน "โรคเรื้อรัง" ศักยภาพการเติบโตที่ลดลง ความเหลื่อมล้ำสูง และหนี้ครัวเรือนสะสม
  • การแก้ปัญหาเศรษฐกิจต้องมุ่งเน้นที่การปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ใช่การใช้มาตรการกระตุ้นระยะสั้นที่ให้ผลเพียงชั่วคราว
  • ฝากผู้ว่าฯ คนใหม่ให้ความสำคัญกับภาพระยะยาวมากกว่าแรงกดดันระยะสั้น
  • ยันแบงก์ชาติไม่ได้อยู่บน "หอคอยงาช้าง" แต่มีการลงพื้นที่รับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชน และผู้ประกอบการ เพื่อให้การตัดสินใจนโยบาย

ล่าสุด ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้สัมภาษณ์พิเศษกับผ่านรายการ Deep Talk กรุงเทพธุรกิจ ก่อนหมดวาระในตำแหน่ง “ผู้ว่าการ ธปท.” ในวันที่ 30 ก.ย.2568 นี้ กับภารกิจผู้ว่าการฯ ตลอดระยะเวลา 5 ปีเต็ม ที่ “เศรษฐพุฒิ” มองว่าเป็นช่วงระยะเวลาที่ “ยาวนาน” และ “ท้าทาย” อย่างมาก

หากถามว่าพอใจกับผลงานที่ผ่านมาหรือไม่ เชื่อว่าเป็นหน้าที่ของสาธารณชน และผู้เกี่ยวข้องที่ต้องประเมิน แต่หากถามว่าพอใจกับการทำงานที่ผ่านมาหรือไม่นั้น ถือว่า “พอใจ” จากความทุ่มเท ความใส่ใจ ของตนเอง และธปท. ในการแก้ไขปัญหาทุกคนได้ทำงานอย่างเต็มที่ภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ ที่มีอยู่

และช่วงที่ดำรงตำแหน่งการตัดสินใจแบงก์ชาติจำเป็นต้องชั่งหลายอย่างด้วยกันตลอดเวลา ต้องคำนึงถึง ภาพรวม ส่วนรวม และระยะยาว รวมถึง ผลข้างเคียง ที่อาจไม่ปรากฏในทันที ตัวอย่างเช่น การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในอดีตไม่ได้ขึ้นดอกเบี้ยเพราะห่วงเรื่องการเติบโตที่ไม่ทั่วถึง แต่ผลข้างเคียงที่ตามมาคือ หนี้สินที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

“ไม่ได้บอกทุกอย่างที่ทำถูก และหลายอย่างมันก็ทำไปแล้ว บางอย่างมันก็ไม่เหมือนที่คิด แต่แบงก์ชาติก็พร้อมปรับเปลี่ยนสิ่งที่ไม่เวิร์ก และยอมรับว่าการสื่อสารของแบงก์ชาติอาจจะยังไม่ดีเท่าที่ควรซึ่งอาจทำให้ประชาชนไม่เข้าใจเหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจต่างๆ แบงก์ชาติพร้อมที่จะปรับปรุงการสื่อสารให้ดีขึ้น”

  • ฝากถึงผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่

สำหรับ สิ่งที่ฝากถึงผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่ ยืนยันว่าจะมีการสื่อสาร และส่งต่องานโดยตรงกับผู้ว่าฯ คนใหม่ อย่างเป็นระบบใช้เวลาเป็นเดือน และสิ่งที่จะฝากผ่านสื่อถึงผู้ว่าฯ คนใหม่คือ “แรงกดดันที่จะทำเรื่องระยะสั้น”

ผู้ว่าฯ คนใหม่จะต้องจัดการเรื่องระยะสั้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งสำคัญคือ “อย่าให้การใส่ใจเรื่องระยะสั้น ทำให้เราละเลยภาพเรื่องของระยะยาว” และลืมการทำเรื่อง “โครงสร้าง”

เศรษฐพุฒิ” ฉายภาพเศรษฐกิจไทยและความท้าทายว่า แม้ตัวเลขเศรษฐกิจยังดี แต่หากสอบถามประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ยังไม่รู้สึกว่าเศรษฐกิจดีถึงขนาดนั้น ผู้คนจำนวนมากยังคงประสบปัญหาเงินเดือนแทบไม่พอใช้จ่าย มีหนี้สินจำนวนมาก

ขณะที่ธุรกิจหลายแห่งก็ประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง และการกู้ยืมเงินจากธนาคารยังคงเผชิญกับการคุมเข้มในการปล่อยสินเชื่ออย่างมาก

สถานการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องระหว่างตัวเลขทางเศรษฐกิจกับความรู้สึกของประชาชนที่ยังคงเผชิญความยากลำบาก
ศก.เผชิญปัญหาระยะสั้นฝังรากลึก
เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายระยะยาวและเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจไทยหยั่งรากลึก

1.ปัจจุบันศักยภาพการโตเศรษฐกิจไทยที่ลดลง และทุกครั้งที่ประสบภาวะวิกฤติ หรือ (shock) และฟื้นตัวกลับมาได้ อัตราเติบโตเศรษฐกิจไทยจะต่ำกว่าเดิมเสมอ

อีกทั้งศักยภาพลดลงต่อเนื่อง สะท้อนปัญหาระยะยาว จากปัญหาเชิงศักยภาพ ไม่สามารถแก้ได้ด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นเพียงอย่างเดียว เพราะหากทำเช่นนั้น เศรษฐกิจอาจฟื้นตัวได้ชั่วขณะหนึ่งแล้วกลับไปสู่สภาพเดิมอีก ดังนั้น จึงเป็นปัญหาพื้นฐานประการแรกที่ต้องได้รับการแก้ไข

2.เศรษฐกิจไทยมีปัญหาความเหลื่อมล้ำที่สูง และสูงกว่าที่หลายคนคิด  และความเหลื่อมล้ำที่สูงในไทยไม่ได้จำกัดอยู่แค่ด้านรายได้ แต่เป็นเรื่องของความมั่งคั่งและสินทรัพย์ครัวเรือนที่ยากไร้หลายแห่งมีปัญหาสินทรัพย์สุทธิติดลบ

นอกจากปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาวแล้ว ในระยะสั้นเศรษฐกิจไทยยังเผชิญปัจจัยรุมเร้าหลายประการ ทั้งการฟื้นตัวที่ล่าช้า โดยเฉพาะในฝั่งรายได้ประชาชนที่ฟื้นตัวช้ามาก จากผลกระทบโควิด ที่ไทยเจอผลกระทบหนักกว่าประเทศอื่นๆ

  • ศก.ไทยเผชิญกรรมเก่าที่แก้ยาก

เศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับหนี้ครัวเรือนสูง เสมือนเป็น “กรรมเก่าที่แก้ยาก” ในช่วงก่อนโควิด-19 หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนั้นการบริโภคที่ขับเคลื่อนด้วยหนี้ทำให้เศรษฐกิจดูดี ซึ่งเป็นสิ่งที่กนง.แสดงความกังวล จากการคงอัตราดอกเบี้ยต่ำมานานที่มีส่วนทำให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ไม่เพียงเท่านั้น เศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกและภายในทั้งจากภาษีนำเข้า (Tariffs) ที่ทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจลดลง

  • บทบาทธปท.ที่มากกว่ากำหนดดบ.

ทั้งนี้ หากถามถึงบทบาทของธปท. เมื่อประชาชนพูดถึงนโยบายการเงิน มักจะนึกถึงอัตราดอกเบี้ยเป็นหลัก แต่ธปท. มีนโยบายและมาตรการที่หลากหลายครอบคลุมหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นมาตรการทางการเงิน นโยบายอื่นๆ และการปรับโครงสร้าง

การทำมาตรการที่ผ่านมา เช่นการลดดอกเบี้ยลงไปต่ำสุดที่ 0.50% ตอนโควิด-19 การออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ฟื้นฟูเพื่ออัดฉีดเงินและสินเชื่อเข้าสู่ระบบ การจัดตั้ง Asset Warehouse

มาตรการเหล่านี้ช่วยให้สินเชื่อโดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอีซึ่งเดิมหดตัว กลับมาเติบโตได้ในช่วงโควิด-19 ได้ และยังมี “คุณสู้เราช่วย” ที่ช่วยแก้ปัญหาหนี้เก่าหนี้ปรับโครงสร้างในปัจจุบัน

ดังนั้น การทำงานแบงก์ชาติ ไม่จำกัดแค่กระตุ้นการเติบโต หน้าที่ ธปท. ยังมีบทบาทสำคัญดูแลเสถียรภาพครอบคลุมสามด้านหลัก เสถียรภาพของระบบการเงิน เสถียรภาพของราคา เสถียรภาพระบบชำระเงิน

คำว่า “เสถียรภาพ” ไม่ได้หมายความถึง “แช่แข็ง” ทุกอย่าง ยังต้องคำนึงถึง “การเติบโต” ด้วย หากไม่มีการเติบโต เสถียรภาพจะไม่ยั่งยืน

และบทบาทกนง. ภายใต้การใช้กรอบเงินเฟ้อยืดหยุ่น ก็มีสามเรื่องหลัก คือ การเติบโตเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพการเงิน
มุ่งรักษาสมดุลระหว่างเสถียรภาพและการโต

ขณะที่ การรักษาสมดุลระหว่างเสถียรภาพ และการเติบโต ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวแต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เช่น ตอนโควิดที่กนง.ลดดอกเบี้ยลงไปต่ำสุดที่ 0.50% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือช่วงเงินเฟ้อสูงถึง 7.9% แบงก์ชาติถูกวิจารณ์อย่างมากว่า “ขึ้นดอกเบี้ยช้า” หรือ “behind the curve” เมื่อเทียบกับธนาคารกลางอื่นที่ขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วและรุนแรง

แต่แบงก์ชาติเลือกใช้นโยบายขึ้นดอกเบี้ยค่อยเป็นค่อยไป ขึ้นครั้งละ 0.25% สุดท้ายไปอยู่ที่ 2.5% เหตุผลคือ สถานการณ์ของเศรษฐกิจไทยต่างจากประเทศอื่นที่ฟื้นตัวแล้ว แนวทางของไทยคือ “ถอดคันเร่ง” ไม่ใช่ “เหยียบเบรก” ตั้งเป้าดอกเบี้ยกลับสู่ระดับ “neutral rate” ระดับที่ไม่กระตุ้นหรือผ่อนคลายจนเกินไป เพื่อไม่ให้เงินเฟ้อพุ่งสูงเกิน ขณะเดียวกันก็ไม่ให้การฟื้นตัวเศรษฐกิจต้องชะงักลง

  • ทำนโยบายการเงินคำนึงถึง Outlook Dependent

โดยเฉพาะการพิจารณาเรื่องดอกเบี้ยนโยบาย ที่กนง. มอง “Outlook dependent” โดยมองข้างหน้ามากกว่า data dependent หรือมองผลระยะสั้น แต่ข้อจำกัดของ Data Dependent ข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมามักจะล่าช้า และมี “noisy” หรือสัญญาณรบกวนมากที่อาจสร้างความไม่แน่นอนให้กับนโยบายมากขึ้น 

ดังนั้นข้อดีของ Outlook Dependent หลักการนี้จะช่วยลดโอกาสที่จะ behind the curve จะพยายามกลั่นกรองข้อมูลที่รบกวนเพื่อให้การตัดสินใจมั่นคงและสร้างความแน่นอนให้กับตลาด

  • ดอกเบี้ยปัจจุบันเอื้อเศรษฐกิจเติบโต

หากดูภาพอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ในระดับ “accommodative” คือ “เอื้อต่อการเติบโต” สะท้อนการให้ “น้ำหนัก” ไปที่เรื่องของการเติบโตและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เพื่อไม่ให้อัตราดอกเบี้ยเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัว การที่อัตราดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ที่ 1.5% ถือว่าต่ำกว่าระดับ neutral rate นั้น จึงเป็นระดับที่ accommodative และเอื้อต่อการเติบโต

ส่วนแนวโน้มดอกเบี้ยในระยะข้างหน้าและเหตุผลในการตัดสินใจ แม้ไม่สามารถให้ความเห็นโดยตรงเกี่ยวกับทิศทางดอกเบี้ยในอนาคตได้ เนื่องจากกำลังจะพ้นวาระ และไม่ได้อยู่ใน กนง. แล้ว แต่หลักการคิดของ กนง. มองว่า การที่ดอกเบี้ยอยู่ในระดับปัจจุบัน ถือว่าเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต

ทั้งนี้กรณีกนง. จะพิจารณาลดดอกเบี้ยอีก จะมาจากการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มเศรษฐกิจ (outlook) ลงอย่างมีนัย จากที่เคยคาดไว้ ซึ่งปัจจุบันตัวเลขล่าสุดปีนี้และปีหน้าไม่ต่างจากที่ประเมินไว้เดิม ดังนั้นการจะลดดอกเบี้ยอีกจึงไม่ได้ต่ำ

  • แบงก์ชาติไม่ได้อยู่บนหอคอยงาช้าง

ส่วนกรณีที่มีคำถามว่า แบงก์ชาติไม่ฟังเสียงประชาชน กรณีนี้ผู้ว่ายืนยันว่า แบงก์ชาติไม่ได้ “อยู่ในหอคอยงาช้าง” ที่ผ่าน มา ธปท.ติดตามและรับฟังเสียงสะท้อนจากประชาชน มีการสำรวจและติดตามข้อมูลอย่างต่อเนื่อง มีทีมงานที่ลงพื้นที่พูดคุยกับผู้ประกอบการในภาคธุรกิจต่างๆ ทั่วประเทศ

 เหล่านี้เกิดขึ้นก่อนการพิจารณาดอกเบี้ย กนง. เพื่อให้เห็นภาพสถานการณ์ที่แท้จริง จุดประสงค์ คือเพื่อให้การวิเคราะห์ และตัดสินใจไม่ได้อิงแค่ตัวเลขทางเศรษฐกิจ แต่ยังคำนึงถึง สิ่งที่ผู้คนกำลังเผชิญอยู่ด้วย

เราเข้าใจว่าประชาชนยังคงรู้สึกเดือดร้อน และอาจรู้สึกว่ามาตรการต่างๆ ยังไม่ถึง แต่ปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนนั้นแก้ไขได้ไม่ง่าย และต้องแก้ไขแบบองค์รวม”

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์