’โออาร์‘ ทบทวนลงทุนกัมพูชา รับครึ่งหลังยอดขาย ‘ซบเซา’

“โออาร์” เผยครึ่งปีหลังรับแรงกระแทกในกัมพูชา ยอดขายลดลงหลังเกิดกระแส “แบนสินค้าไทย” คาดกระทบภาพรวมจำกัด ย้ำเป้าปีนี้ “อีบิทด้า” กลับมาโตระดับเดิมแตะ 2 หมื่นล้าน
KEY
POINTS
- ยอดขายธุรกิจของโออาร์ในกัมพูชา ทั้งปั๊มน้ำมัน และคาเฟ่ อเมซอน ได้รับผลกระทบจากกระแสชาตินิยม และการแบนสินค้าไทยหลังเกิดความไม่สงบชายแดน
- บริษัทคาดการณ์ว่าผลประกอบการในกัมพูชาช่วงครึ่งปีหลังจะอ่อนตัว และซบเซาลงอย่างชัดเจน
- โออาร์กำลังติดตามสถานการณ์ และจะกลับไปประเมินเพื่อทบทวนแผนการลงทุน และการดำเนินธุรกิจในกัมพูชาอีกครั้งเมื่อเหตุการณ์คลี่คลาย
จากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ได้สร้างแรงกระเพื่อมต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้านอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าจากต่างประเทศที่ต้องเผชิญกับกระแสชาตินิยมที่ทวีความเข้มข้นขึ้น
แม้เหตุการณ์จะยังอยู่ในวงจำกัด แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีผลต่อวอลุ่มการขายและการดำเนินงานของธุรกิจต่างชาติ เริ่มปรากฏให้เห็นชัดมากขึ้น สำหรับ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR มีธุรกิจต่างประเทศ (Global) ที่มีการดำเนินงานใน กัมพูชา ที่ถือเป็นประเทศหลักที่เป็น Key Engine ของบริษัทนั้น
“ยอดขายลด” แต่ผลกระทบภาพรวมยังจำกัด
นางสาววิไลวรรณ กาญจนกันติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านบริหารการเงิน โออาร์ เปิดเผยว่า ธุรกิจในประเทศกัมพูชาปัจจุบันบริษัทมีการบันทึก EBITDA กลับมาในงบทั้งปีสัดส่วนประมาณ 5% ซึ่งครึ่งปีแรกที่ผ่านมาผลงานภาพรวมบริษัทค่อนข้างดี เนื่องจากปัญหาไทย-กัมพูชา เกิดขึ้นเพียง 10 วันในไตรมาส 2 ปี 2568 ซึ่งประเมินผลกระทบฝั่งไทยยังน้อยมาก และยังคงดำเนินธุรกิจปกติในพื้นที่จังหวัดแนวชายแดน เพียงแต่ต้องเพิ่มความระมัดระวังพร้อมดูแล และเยียวยาดีลเลอร์ หวังว่าสถานการณ์จะกลับมาปกติโดยเร็ว
สำหรับการดำเนินธุรกิจในฝั่งประเทศกัมพูชา จากสถานการณ์ดังกล่าว จนกลายเป็นกระแสชาตินิยม และช่วงนี้ชาวกัมพูชามีการแบนสินค้าแบรนด์ไทยส่งผลให้ยอดขายอาจลดลง ทั้งในส่วนของ PTT Station ปั๊มน้ำมัน ร้านค้าปลีก และร้านคาเฟ่อเมซอน
ส่วนประเด็นที่ดีลเลอร์ในฝั่งกัมพูชา ที่ต้องการเปลี่ยนแบรนด์ใหม่เป็น Local Station เพื่อลดถอนกระแสชาตินิยมนั้น พบว่าตอนนี้ยังมีติดต่อเข้ามาจำนวนไม่มาก โดยการจัดการมีสัดส่วนแฟรนไชส์ให้ดีลเลอร์ท้องถิ่นดำเนินการ 90% และโออาร์ดำเนินการเองสัดส่วน 10% เช่นเดียวในไทย
“หากดีลเลอร์ท้องถิ่นต้องรีแบรนด์เป็นแบรนด์อื่นนั้น ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสัญญา ถ้าไม่ผิดเงื่อนไขสามารถทำได้ แต่หากผิดเงื่อนไข ต้องมีการชดใช้ค่าเสียหายที่ยังไม่คุ้มค่าการลงทุน”
ขณะที่ ผลประกอบการของธุรกิจในประเทศกัมพูชาช่วงครึ่งปีหลังจะอ่อนตัวลง จากช่วงไตรมาส 3 นี้ แนวโน้มยอดขายลดลง จากไตรมาส 2 ที่ผ่านมาผลกระทบยังจำกัดมาก แต่เชื่อว่าจะมีผลกระทบภาพรวมธุรกิจของโออาร์ไม่มากนัก เพราะผลประกอบการในกัมพูชามีสัดส่วนเพียง 3-5% ของงบรวมของโออาร์เท่านั้น
“เรายังติดตามสถานการณ์ คาดหวังว่า สถานการณ์ดังกล่าว จะกลับมาปกติในเร็ววัน และเมื่อเหตุการณ์ดีขึ้น เราจะกลับเข้าไปประเมิน และทบทวนการดำเนินธุรกิจในกัมพูชาต่อไป”
ปีนี้ “อีบิทด้า” กลับมาโตระดับ 2 หมื่นล้าน
นางสาวปิติรัตน์ รัตนโชติ ผู้จัดการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ OR เปิดเผยว่า มั่นใจปีนี้จะสามารถดำเนินธุรกิจได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยมีอีบิทด้ากลับมาที่ระดับเดิม 20,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับปกติอีกครั้ง จากปีก่อน มีอีบิทด้า ลดต่ำลงมาอยู่ 17,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามขึ้นกับปัจจัยในช่วงครึ่งปีหลังเช่นกัน ยังมีความท้าทายที่ระยะหลังมานี้ จากหลายปัจจัยที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่ที่ผ่านมาบริษัทพยายามทำธุรกิจหลักให้แข็งแกร่ง สะท้อนจากกลุ่ม “ธุรกิจโมบิลิตี้” วอลุ่มน้ำมันและกำไร ยังอยู่ในกรอบที่คาดต่อไปได้อีก ส่วนกลุ่ม “ธุรกิจไลฟ์สไตล์” ยังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง ทำให้มั่นใจทำได้ตามเป้าหมาย
ทางด้าน “ธุรกิจโกลบอล” ผลกระทบจากสถานการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา มองว่าไม่กระทบต่อภาพรวมมากนัก ที่สำคัญการเติบโตของจีดีพีในสปป.ลาว ยังใกล้เคียงประเทศไทยปีนี้ราว 2.5% ทำให้ปริมาณการขายและอัตรากำไรขั้นต้นยังดีอยู่
ดังนั้น ภาพรวมรายได้ทั้งปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 1-2% จากปีก่อน ตามปริมาณการขายในประเทศจะเติบโตสอดคล้องกับการขยายตัวของจีดีพีไทยที่ระดับ 1-2% โดยมีปัจจัยหนุนหลักจากปริมาณขายน้ำมันอากาศยาน (JET) ยังเพิ่มขึ้นจากการขยายพันธมิตร แม้จำนวนนักท่องเที่ยวจะปรับตัวลดลงเล็กน้อยในปีนี้ที่คาด 35 ล้านคน จากปีก่อน 35.5 ล้านคน
โดยพบว่าครึ่งแรกปี 2568 มีปริมาณขายน้ำมันอากาศยานเพิ่มขึ้นแล้วกว่า 18% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และคาดทั้งปีนี้จะเป็นตัวดึงที่ทำให้ภาพรวมของปริมาณการขายในประเทศเพิ่ม ส่วนปริมาณการใช้น้ำมันภาคพื้นยังคงชะลอตัวอยู่ และคาดว่า ราคาน้ำมันปีนี้น่าจะต่ำกว่าปีก่อน โดยคาดราคาน้ำมันดิบตลาดดูไบทั้งปีที่ระดับ 66-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากปีก่อนที่อยู่ระดับ 79.7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตามถือว่าราคาน้ำมันปีนี้ก็ไม่ได้มีความผันผวนมาก
ส่วนแนวโน้มรายได้ช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ ส่วนใหญ่จะมาจากกลุ่มธุรกิจโมบิลิตี้ หรือยอดขายน้ำมัน ซึ่งปกติรายได้จะผันผวนตามราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยหากเทียบราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 2 และ 3 ของปีนี้ พบว่าปัจจุบันราคาน้ำมันอยู่ที่ระดับ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ปีนี้ ที่ระดับ 60 กว่าดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำให้แนวโน้มรายได้น่าจะสูงขึ้นกว่าไตรมาสที่ผ่านมา และมุ่งมั่นรักษาความเป็นผู้นำธุรกิจน้ำมัน ปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาด 40.1%
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







