‘แบงก์ชาติ‘ สั่งแบงก์คุมเข้ม ‘โอนเงิน’ จำกัดกลุ่มเสี่ยง โอนไม่เกิน 5 หมื่นบาทต่อวัน

ธปท. ชี้ยอดการถูกหลอก “การโอนเงิน” ยังพุ่ง เตรียมออกแนวทางป้องกัน “มิจฉาชีพ” เล็งจำกัดโอนเงิน “กลุ่มเสี่ยง” ผ่านระบบดิจิทัลได้ไม่เกิน 50,000 บาทต่อวัน
KEY
POINTS
- ธปท.สั่งให้ธนาคารพาณิชย์คุมเข้มการโอนเงินผ่านช่องทางดิจิทัล เพื่อป้องกันและจำกัดความเสียหายจากการหลอกลวงและบัญชีม้า
- กำหนดวงเงินโอนเริ่มต้นสำหรับลูกค้ากลุ่มเสี่ยง เช่น ลูกค้าใหม่ หรือบัญชีที่น่าสงสัย ไว้ที่ไม่เกิน 5 หมื่นบาทต่อวัน
- หวังลดความเสียหาย จากการถูกหลอกให้โอนเงิน กระทบมิจฉาชีพโอนเงินยากขึ้น
- เตรียมบังคับใช้ทันที สำหรับลูกค้าใหม่ ส่วนลูกค้าปัจจุบันกำหนดใช้ภายในสิ้นปีนี้
ปัจจุบันสถานการณ์การถูกหลอกให้ “โอนเงิน” ยังอยู่ระดับสูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะการถูกหลอกลวงให้โอนเงินไปยัง “บัญชีม้า” เพื่อโอนต่อไปยัง “บัญชีมิจฉาชีพตัวจริง” ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามการเงินที่ยังสร้างความเสียหายมหาศาลต่อประชาชน และระบบการเงินในปัจจุบัน
นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า จากแนวโน้มการถูกมิจฉาชีพหลอกลวงในปัจจุบันที่ยังอยู่ระดับสูงต่อเนื่อง อีกทั้งรูปแบบและพฤติกรรมของมิจฉาชีพที่เปลี่ยนไปทำให้ความเสียหายจากการถูกภัยทุจริตทางการเงินยังมีอยู่ระดับสูง
ธปท. จึงร่วมมือกับสมาคมธนาคารไทยในการยกระดับเชิงป้องกันโดยกำหนดวงเงินการโอนเงินและชำระเงินต่อวันผ่านช่องทางดิจิทัลของลูกค้าบุคคลธรรมดาให้เหมาะสมกับพฤติกรรมทำธุรกรรมลูกค้า เพื่อให้ธนาคารสามารถดำเนินการเชิงรุกป้องกันและจำกัดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนที่ถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพอย่างมีประสิทธิภาพมาก
ทั้งนี้ การกำหนดโอนเงินต่อวันนั้น มีเป้าหมายหลัก 2 ประการ
- 1.จำกัดไม่ให้มิจฉาชีพสามารถโอนเงินออกจากบัญชีได้ครั้งละจำนวนมาก เพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพถ่ายโอนเงินที่ได้จากการกระทำความผิดได้เร็ว ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสที่จะกักเงินผู้เสียหายไว้ได้ทัน
- 2.จำกัดความเสียหายประชาชนที่อาจตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของมิจฉาชีพ
ธปท.ลิมิตการโอนเงินกลุ่มเสี่ยงไม่เกิน 5 หมื่นบาท/วัน
โดยธนาคารจะพิจารณากำหนดวงเงินการโอนและชำระเงินต่อวันให้เหมาะกับความเสี่ยงและพฤติกรรมการทำธุรกรรมในอดีตลูกค้าวงเงินเริ่มต้นอยู่ที่ไม่เกิน 50,000 บาทต่อวัน
นางสาวอรมนต์ จันทพันธ์ ผู้อำนวยการ ธปท. กล่าวว่า มาตรการนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้ระบบการเงินไทยเป็นทางผ่านเงินมิจฉาชีพ เป้าหมายแรกคือ การจัดการไม่ให้บุคคลที่อาจเป็นมิจฉาชีพสามารถโอนเงินออกจากบัญชีได้เป็นจำนวนมาก
และเพื่อคุ้มครองเหยื่อบางประเภทเป็นพิเศษ มาตรการนี้จะช่วยปกป้องกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กและผู้สูงอายุ ที่อายุไม่เกิน 15 ปี หรืออายุเกิน 65 ปี โดยเฉพาะเพื่อจำกัดความเสียหายหากพวกเขาตกเป็นเหยื่อและโอนเงินออกไป
กลไกออกมาตรการนี้เป็นการกำหนดวงเงินตามพฤติกรรม ธนาคารจะพิจารณาปัจจัยต่างๆ เพื่อทำความรู้จักลูกค้าแต่ละคนว่ามีพฤติกรรมการใช้เงินอย่างไร มีความเสี่ยงที่จะเป็นม้าหรือเป็นเหยื่อหรือไม่
จัดกลุ่มลูกค้าเพื่อจำกัดวงเงินการโอนเงิน
โดยผ่านการจัดกลุ่มความเสี่ยงเพื่อกำหนดการโอนเงินออกสำหรับลูกค้าแต่ละกลุ่ม ถูกแบ่งเป็น 3 กลุ่ม เช่น กลุ่มสีแดง ที่ถือเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยง ต้องสงสัย มีโอกาสเป็นบัญชีม้า
หากธนาคารพิจารณาว่าลูกค้ารายใดอยู่ในกลุ่มนี้ หรือยังไม่สามารถยืนยันข้อมูลได้ว่าเป็นลูกค้าทั่วไปที่ดีหรือไม่ จะถูกกำหนดวงเงินโอนออกต่อวัน ไม่เกิน 50,000 บาท โดยการกำหนดวงเงินนี้อิงจากข้อมูลที่พบว่าธุรกรรมที่มีมูลค่าสูงกว่า 50,000 บาท คิดเป็นประมาณ 3 ใน 4 ของมูลค่าความเสียหายทั้งหมด
หรือกรณีที่เป็นลูกค้าใหม่ ที่ในช่วงแรก ลูกค้าใหม่จะถูกวางไว้ในกลุ่มที่มีวงเงินจำกัดการโอนเงิน หรือชำระเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อวัน จนกว่าธนาคารจะรู้จักพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้าที่ดีขึ้น
สำหรับลูกค้าทั่วไป ที่มีพฤติกรรมปกติ หากลูกค้ามีพฤติกรรมการใช้บัญชีที่เป็นปกติ เช่น รับเงินเดือนเข้าบัญชี หรือมีการใช้จ่ายทั่วไปอย่างสม่ำเสมอเป็นระยะเวลา 3-6 เดือน ธนาคารจะนำออกจากกลุ่มต้องสงสัยและกำหนดวงเงินที่เหมาะสมกับพฤติกรรมนั้น
ถัดมา คือลูกค้าที่จัดอยู่ในกลุ่ม M จะมีการวงเงินโอนออกต่อวันจะกำหนดไม่เกิน 200,000 บาทต่อวัน และกลุ่มลูกค้า L จะกำหนดวงเงินโอนออกต่อวัน มากกว่า 200,000 บาท เป็นต้น
จ่อคุมโอนเงินต่ำลง “เด็ก-ผู้สูงอายุ” เป็นพิเศษ
แม้หลักเกณฑ์เหล่านี้เป็นแนวทางหรือมาตรการขั้นต่ำที่แบงก์จะนำมาใช้ แต่ธนาคารสามารถมีหมวดหมู่ย่อยที่ละเอียดกว่าได้ เช่น การดูแลกลุ่มเปราะบางเป็นพิเศษ เช่นเด็ก อายุไม่เกิน 15 ปี ธนาคารจะกำหนดวงเงินโอนที่ต่ำมาก เช่น 5,000-30,000 บาท ซึ่งสอดคล้องกับประวัติและข้อมูลการใช้จ่ายของกลุ่มนี้
หรือผู้สูงอายุกลุ่มนี้มีความเสียหายสูงตามมูลค่าทรัพย์สินที่สะสมมา ที่ธนาคารจะพิจารณาวงเงินโอนตาม กระแสการใช้จ่ายต่อวันตามปกติเป็นหลัก เพื่อป้องกันไม่ให้เงินก้อนสุดท้ายของชีวิตถูกหลอกไปจนหมดตัว
ตัวอย่าง หากผู้สูงอายุมีค่าใช้จ่ายต่อวันไม่เกิน 10,000 บาท อาจถูกจำกัดวงเงินไว้ที่ 50,000 บาทต่อวัน แต่หากมีเหตุจำเป็นต้องโอนเงินก้อนใหญ่
เช่น ช่วยลูกจ่ายค่าเล่าเรียน ต้องการใช้วงเงินฉุกเฉิน กลุ่มนี้สามารถขอเพิ่มวงเงินการโอนเงินได้ โดยธนาคารจะมีกระบวนการเตือนและสอบถามลูกค้ากลุ่มนี้อย่างเข้มงวด
ทั้งนี้ การกำหนดมาตรการโอนเงินและชำระเงินนั้น จะครอบคลุมเฉพาะการโอนเงินออกจากบัญชีธนาคารผ่านการโอนผ่านช่องทางดิจิทัลเท่านั้น ได้แก่ โมบายแบงกิ้ง และอินเทอร์เน็ตแบงกิ้ง ส่วนการให้สแกนใบหน้า หากต้องการทำธุรกรรมการโอนเงินเกิน 50,000 บาท ยังคงเป็นกระบวนการปกติสำหรับการทำธุรกรรมการเงิน
เริ่มมาตรการป้องโอนเงิน ส.ค.นี้ “ลูกค้าใหม่”
มาตรการนี้ สำหรับลูกค้าใหม่จะเริ่มใช้มาตรการนี้ภายในสิ้นเดือนส.ค.นี้ทันที แต่หากเป็นลูกค้าปัจจุบันจะเริ่มภายในสิ้นปี 2568 โดยการกำหนดระยะเวลาที่ยาวนานขึ้นสำหรับลูกค้าปัจจุบัน เพื่อให้ธนาคารมีเวลาในการพัฒนาระบบและโมเดลการประเมินลูกค้าให้ดีที่สุด เพื่อลดผลกระทบต่อลูกค้าที่ดี ส่วนธนาคารที่มีความพร้อมก็สามารถเริ่มมาตรการดังกล่าวได้เร็วกว่ากำหนดได้
อย่างไรก็ตาม ลูกค้าที่ถูกลดวงเงินเดิมลง ธนาคารต้องแจ้งให้ลูกค้าทราบ การแจ้งเตือนไม่ใช้เวลานานเพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพใช้ข้อมูลนี้ในการหาช่องโหว่ หากลูกค้าต้องการใช้วงเงินเกินกว่าที่กำหนดไว้ สามารถติดต่อธนาคารเพื่อขอเพิ่มวงเงินได้ ทั้งนี้แบงก์จะกำหนดวงเงินฉุกเฉินไว้ด้วย เช่น เหตุจำเป็นทางการแพทย์ ซึ่งมีกระบวนการพิจารณาที่รวดเร็ว
ยอดถูกหลอกพุ่งสกัดบัญชีม้าเกือบ 3 ล้านบัญชี
นางสาวดารณี กล่าวเพิ่มเติมว่า มูลค่าความเสียหายไตรมาส 2 ปีนี้ พบเสียหายจากการถูกหลอกลวงสูงถึง 6,000 ล้านบาท หรือ 2,000 ล้านบาทต่อเดือน หรือเฉพาะเดือนมิ.ย. พบว่ามีความเสียหายสูงถึง 24,500 เคส มีความเสียหายรวม 2,800 ล้านบาท เฉลี่ย 114,000 บาทต่อเคส โดยมียอดความเสียหายสูงสุดที่ 4.9 ล้านบาทต่อครั้ง
ทั้งนี้พบว่า ปัจจุบันระงับบัญชีม้าไปแล้วเกือบ 3 ล้านบัญชี และมีการระบุบัญชีม้าแล้ว 1.97 แสนรายชื่อ แต่ยังพบว่ายังพบบัญชีม้าสะสมยังคงชันขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยพบว่า ประเภทการหลอกลวงที่สร้างความเสียหายสูง คือ หลอกให้ลงทุน ถัดมา คือ หลอกโอนเงินโดยมีแรงจูงใจต่างๆ หวังผลตอบแทนสูง หรือได้รายได้เพิ่ม และสุดท้ายคือถูกหลอกผ่านคอลเซนเตอร์
นอกจากนี้ พบว่า กลุ่มผู้เสียหายตามช่วงอายุ ความเสียหายเฉลี่ยต่อเคสมีแนวโน้มสูงขึ้นตามอายุ โดยผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป มีค่าเฉลี่ยความเสียหายสูงที่สุด อยู่ที่ประมาณ 400,000 บาทต่อเคส ส่วนกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี แม้จำนวนเคสจะไม่มาก แต่ก็มีความเสียหายเกิดขึ้น ซึ่งมักเป็นการผูกบัญชีกับผู้ปกครอง







